กรุงเทพฯ 30 ก.ย. – “เอกนิติ” รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง เดินหน้า “Quick Big Win” 5 เสาหลัก แก้ “หนี้-คอขวดลงทุน-กระตุ้นเศรษฐกิจ” ดึงเครื่องยนต์เศรษฐกิจไทยไม่ให้ลงเหว จีดีพีไตรมาส 4 จะโตกว่า 0.3% ตั้งเป้าดึงเครดิตไทยดีขึ้น
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง กล่าวว่า การพิจารณาอนุมัติโครงการ “คนละครึ่ง” จะเข้าสู่การพิจารณา ครม.ในสัปดาห์หน้า โดยจะใช้ได้ทันในเดือนตุลาคมแน่นอน และชี้แจงนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล ต่อรัฐสภาว่า 4 เดือนนี้จะเร่งดำเนินการ ภายใต้วางแผนนโยบายเพื่อแก้ไขสถานการณ์ทางเศรษฐกินไทยที่เปรียบเสมือน “รถยนต์” ที่กำลัง “วิ่งลงเหว” หรือกำลัง “ใกล้จะติดหล่ม” หากไม่มีการดำเนินการใด ๆ สถานการณ์อาจ ดิ่งเหว จึงเดินหน้านโยบาย “Quick Big Win”กู้เศรษฐกิจ 5 เสาหลัก เดินหน้าเครื่องยนต์ 4 ลูกสูบ เพื่อทำให้กำหนดเป้าหมาย เศรษฐกิจไตรมาส 4/68 ขยายตัวมากกว่า 0.3% ตัวเลขหนี้ครัวเรือนไทยจะลดต่ำกว่า 87.4% ต่อจีดีพี
“นโยบายเศรษฐกิจ “กระตุ้นสั้น ได้ยาว กระจายตัว” เพิ่มศักยภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาวและกระจายประโยชน์ไปยังทุกพื้นที่ ดูแลผู้ประกอบการรายย่อย ปากท้องประชาชน เรียกว่า “Quick Big Win” ซึ่งต้องทำ “สั้น” (Quick) “ใหญ่” (Big) พอที่จะดันเศรษฐกิจ และให้ประชาชนได้รับ “ประโยชน์” (Win) 5 เสาหลักจะอยู่ไม่ได้หากไม่มีฐานรากที่เข้มแข็ง คือ การรักษาเสถียรภาพการคลัง จะเน้นจัดทำกรอบวินัยทางการคลังระยะปานกลางในเดือนพฤศจิกายน, โปร่งใส โดยจะเปิดเผยข้อมูลมากขึ้น, และธรรมาภิบาล เพื่อสร้างความมั่นใจต่อสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ (Rating Agency)” นายเอกนิติ กล่าว
สำหรับการแก้ไขปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจแบ่งออกเป็น 5 เสาหลัก ได้แก่ 1.กระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว คนละครึ่งพลัส นโยบายนี้ใช้หลักการกระตุ้นสั้น ได้ยาว และกระจายตัว เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพ ซึ่งในสัปดาห์หน้าหน้าจะเสนอครม. ให้ประชาชนสามารถใช้จ่ายได้ 200 บาท/วัน จากเดิมวันละ150 บาท ใช้ทันต.ค.นี้แน่นอน บาท และโครงการนี้จะเน้นให้ความช่วยเหลือแก่พ่อค้าแม่ค้ารายเล็ก รายย่อย หาบเร่ แผงลอย และแท็กซี่ เพื่อให้เกิดการกระจายตัว
นอกจากนี้ ในคำว่า พลัส เพื่อผลยาว โดยผู้เสียภาษีที่อยู่ในระบบจะได้รับเงิน 2,400 บาท เพื่อจูงใจให้ประชาชนเข้าระบบภาษี หวังว่าระยะต่อไป ประชาชนจะเข้าระบบมากขึ้น ขณะเดียวกัน จะมีการเพิ่มทักษะ (Skill) ให้แก่พ่อค้าแม่ค้าในการขายของออนไลน์ (E-commerce) รวมถึงการทำบัญชีดิจิทัล ซึ่งจะเชื่อมโยงกับการพิจารณาปล่อยสินเชื่อจากธนาคาร
ทั้งนี้ ในการเดินหน้าโครงการดังกล่าว รัฐบาลให้ความสำคัญกับวินัยการคลัง ซึ่งไม่ได้มีการใช้เม็ดเงินใหม่ แต่ใช้กรอบงบประมาณเดิมที่ได้รับอนุมัติจากรัฐบาลชุดที่แล้ว งบกระตุ้น 25,000 ล้านบาท และงบกลาง 19,000 ล้านบาท รวม 44,000 ล้านบาท โดยไม่ได้มีการกู้เพิ่ม ขณะที่ในภาคการท่องเที่ยว จะกระตุ้นการท่องเที่ยวเมืองรอง โดยให้สิทธิหักลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า สำหรับการพัฒนาปรับปรุงโรงแรมในเมืองรอง ซึ่งนโยบายนี้สูญเสียรายได้ภาษีเพียง 300 ล้านบาท
- การแก้ไขหนี้ภาคประชาชน แก้หนี้ NPL จะนำเงินในกองทุนฟื้นฟูฯ ซึ่งมาจากธนาคารพาณิชย์ส่งเงินสมทบเข้ากองทุน โดยมีวงเงินเหลือประมาณ 26,000 ล้านบาท มาตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) ร่วมกับธนาคารพาณิชย์ เพื่อซื้อหนี้ NPLมาปรับโครงสร้าง จะเป็นการยืดหนี้ ลดดอกเบี้ย และลดภาระการผ่อนต่อเดือนลง เพื่อให้ประชาชนมีสภาพคล่องที่ดีขึ้น และจะมีสินเชื่อเพื่อคนตัวเล็กตัวน้อย ผ่านอารีย์สกอร์ ให้เข้าถึงสินเชื่อในระบบ ไม่ต้องพึ่งพานอกระบบ
- การดูแลผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และสภาพคล่อง จะใช้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เข้ามาค้ำประกันสินเชื่อ โดยเตรียมวงเงินไว้ขั้นต่ำ 50,000 ล้านบาท และมีห่วงโซ่อุปทาน Supply Chain Financing ส่งเสริมโครงการ “พี่ช่วยน้อง” โดยให้รายใหญ่ช่วยรายย่อยในห่วงโซ่อุปทาน และสามารถนำค่าใช้จ่ายมาหักลดหย่อนภาษีได้ นอกจากนี้ ธนาคารจะให้การสนับสนุนทางการเงินแก่เอสเอ็มอี ที่มีกำหนดได้รับเงินจากโครงการภาครัฐ ซึ่งลดความเสี่ยงในการปล่อยสินเชื่อ ,และ เร่งรัดการคืนภาษีของกรมสรรพากรทันที ซึ่งมีเม็ดเงินอยู่ในมือถึง 160,000 ล้านบาท เพื่ออัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบและเอสเอ็มอี อย่างรวดเร็ว
4.เพิ่มการออมภาคประชาชน จะมีการสลากออมทรัพย์ เป็นคนละส่วนกับหวยเกษียณ ส่งเสริมการออมโดยเชื่อมโยงกับการซื้อสลาก ทางบัญชีทางออนไลน์ โดยแบ่งสัดส่วนเงินส่วนหนึ่งเป็นเงินออมที่ต้องถือไว้ 5 ปี หรือจนถึงอายุ 55 ปี ซึ่งจะใช้เงินจากค่าการตลาดของสำนักงานสลากฯมาดำเนินการ และ จะสนับสนุนให้ประชาชนรายย่อยเข้าถึงพันธบัตรออมทรัพย์รัฐบาลได้ทุกเดือน เพื่อให้ประชาชนได้รับดอกเบี้ยที่สูงกว่าการฝากเงินทั่วไป โดยปัจจุบันพันธบัตร 10 ปี มีอัตราดอกเบี้ยประมาณ 1.4%
5.เพิ่มขีดความสามารถทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี เพิ่มทักษะ (Skill) และสร้างอุตสาหกรรมใหม่ (เกษตรชีวภาพ, Smart Farming, ดิจิทัล, AI, Data Center, รถยนต์ EV และได้จับมือกับสถาบันการศึกษา เช่น สถาบันเทคนิคไทย-เยอรมัน เพื่อฝึกอบรมแรงงานให้ตรงกับความต้องการของตลาด โดย BOI มีเงินสำหรับเพิ่มขีดความสามารถอยู่ 10,000 ล้านบาท
นอกจากนี้จะปลดล็อกเงินลงทุนผ่าน BOI ด้วย “Fast Pass” เร่งรัดการอนุมัติโครงการลงทุนที่ได้รับอนุมัติจาก BOI ไปแล้วปี66-67 แต่ยังไม่ได้เริ่มลงทุนจริงมูลค่าสูงถึง 470,000 ล้านบาท ระบบนี้ก็เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องอนุมัติภายในเวลาที่กำหนด เพื่อดึงเม็ดเงินเหล่านี้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจภายใน 4 เดือน โดยไม่ต้องใช้เงินใหม่
สำหรับรถยนต์เศรษฐกิจไทย ประกอบด้วย เครื่องยนต์ 4 ลูกสูบ ได้แก่ การส่งออก (ลูกสูบที่ 1) ,การบริโภคภาคเอกชน,การลงทุนภาคเอกชน ซึ่งเครื่องยนต์นี้ “เตรียมดับ” เนื่องจากอัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงงานทั่วประเทศยังไม่ถึง 60% ,เครื่องยนต์การใช้จ่ายรัฐบาล จะเร่งช่วยผลักดันเศรษฐกิจ แม้ว่าน้ำหนักตัวจะเล็ก แต่ก็เป็นความหวังเดียวที่จะช่วยให้เศรษฐกิจพ้นจากหล่มได้. -511-สำนักข่าวไทย