“วราวุธ” กำชับตรวจสอบเส้นทางการเงินอธิบดีกรมอุทยานฯ

30 ธ.ค.- “วราวุธ” จ่อฟัน “อธิบดีกรมอุทยานฯ” กำชับ คกก.ตรวจสอบเส้นทางการเงิน ทั้งผู้ให้และผู้รับ รวมถึงหน่วยงานอื่น หากเจอ บทลงโทษสูงสุด “ไล่ออก” พร้อมเดินหน้าเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมา


วันที่ 30 ธันวาคม 2565 นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการตรวจสอบ นายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ในคดีเรียกรับผลประโยชน์ และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ว่านับตั้งแต่ วันที่เกิดเหตุ คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง ทำงานกันอย่างเข้มข้น เพราะตนได้กำชับว่าต้องตรวจสอบเส้นทางการเงิน ทั้งผู้ให้ และผู้รับด้วย รวมถึงขยายผลไปถึงหน่วยงานอื่น ๆ ด้วย ไม่ใช่เฉพาะที่มีรายชื่อปรากฏบนซองตามที่เป็นข่าว เพื่อความชัดเจนในเรื่องที่เกิดขึ้น และจากนี้ไปคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงก็จะทำงานอย่างต่อเนื่อง

ส่วนการเร่งรัดในการตรวจสอบ นายวราวุธ ยืนยันว่า เนื่องจากเรื่องนี้ถือเป็นการกระทำผิดร้ายแรง อีกทั้งยังมีตำแหน่งเป็นข้าราชการระดับสูง จึงกำชับให้ดำเนินการอย่างรอบคอบ และโดยเร็วที่สุด รวมถึงต้องรับฟังความคิดเห็นจากข้าราชการที่ได้รับผลกระทบด้วย เพื่อให้ได้ข้อมูลข้อเท็จจริงที่ครอบคลุมทุกมิติ ส่วนการตรวจสอบย้อนหลังจะต้องเป็นไปตามระเบียบทางราชการ โดยจะต้องหารือกับ นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรฯ ก่อน เนื่องจากการบริหารราชการกระทรวง และการบริหารราชการแผ่นดิน มีกฎหมาย และระเบียบควบคุมเอาไว้อย่างชัดเจน


นายวราวุธ ระบุต่อว่า หากผลสอบพบว่ามีมูลความผิดชัดเจน ตามที่คณะกรรมการตรวจสอบสรุปมา จะมีอนุกรรมการสามัญประจำกระทรวง หรือ อ.ก.พ. พิจารณาตัดสินแนวทาง หรือบทลงโทษ ว่าจะ ไล่ออก ปลดออก หรือ พักราชการ ซึ่งจะมีระดับมาตรการที่แตกต่างกันออกไป นอกจากนี้ ยังทำงานกับหน่วยงานตรวจสอบภายนอก ทั้ง สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ หรือ ปปท. สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช.พิจารณาอยู่ หากหน่วยงานใดชี้มูล และส่งผลการพิจารณามายังกระทรวง ก็จะดำเนินการตามแนวทางที่หน่วยงานนั้นเสนอมาภายใน 30 วัน ตามที่กฎหมายกำหนด

เมื่อถามว่าจะต้องมีการดำเนินการเรียกค่าเสียหาย ตาม พ.ร.บ.ละเมิด หรือไม่ เนื่องจากเงินผลประโยชน์บางส่วนถูกหักมาจากงบประมาณ นายวราวุธ ระบุว่า หากเป็นเรื่องงบประมาณ ต้องดูความเกี่ยวโยงกับเนื้องานที่เกิดขึ้น และขอดูข้อกฎหมายและระเบียบการบริหารราชการแผ่นดิน ว่ามีเงื่อนไขอย่างไร ปลัดกระทรวง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีสิทธิที่จะดำเนินการเรียกคืนหรือไม่

นายวราวุธ ยังระบุว่า การทำงานรัฐมนตรีภายในกระทรวงกว่า 3 ปี ยึดหลักปฏิบัติตามระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน มีอำนาจสั่งการลงไปถึงระดับปลัดกระทรวง และอธิบดี เท่านั้น ส่วนการบริหารหน่วยงานภายในกรมฯ จะเป็นอำนาจของอธิบดี และปลัดกระทรวง หากรัฐมนตรีใช้อำนาจลงไปถึงส่วนนั้น เช่น การโยกย้ายผู้อำนวยการ หรือสำนักอุทยานฯ ก็จะผิดกฎหมายอาญามาตรา 157 ทำเกินกว่าอำนาจหน้าที่ได้ ดังนั้นตลอด การทำงานจึงยึดหลักนี้มาโดยตลอด


นายวราวุธ ยังฝากไปถึงข้าราชการกระทรวงทรัพยากรฯ และประชาชน โดยเน้นย้ำถึงนโยบายการทำงานของกระทรวง ให้ทำงานอย่างโปร่งใส เป็นธรรมกับทุกฝ่าย ดังนั้นจากเนื้องาน และการทำงานที่ผ่านมา ก็ล้วนเป็นงานที่มีประโยชน์กับประชาชน สามารถจับต้องได้ หรือแม้กระทั่งเรื่องร้องเรียน ขอความเป็นธรรมทุกเรื่อง กระทรวงได้ดำเนินการตามระเบียบที่มีอยู่ ได้สอบสวน ไต่สวน จนหลาย ๆ กรณีก็สามารถแก้ไขปัญหาให้กับข้าราชการ และประชาชนได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นการทำงานของกระทรวงทรัพยากรฯ ยังยึดมั่น และให้คำมั่นได้ว่า เรามีหลักทำงานที่โปร่งใส และยึดหลักแก้ไขปัญหาของพี่น้องประชาชน เป็นภารกิจที่สำคัญที่สุด

“ในส่วนของเพื่อน ๆ ข้าราชการ ผมขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคน หากรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม หรือพบความผิดปกติเกิดขึ้นก็สามารถร้องเรียนมาได้ ทุกช่องทาง เช่น ศูนย์ร้องเรียนของกระทรวง สื่อโซเชียลมีเดีย หรือจดหมาย ลงชื่อ หรือ ไม่ลงชื่อ ทุก ๆ เรื่องจะได้รับการพิจารณาอย่างละเอียด และจะรักษาความลับของผู้ร้องไว้ เพื่อไม่ให้ได้รับผลกระทบ”

นายวราวุธ ยังให้ความมั่นใจ ว่า ในระยะเวลาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีที่เหลืออยู่ จะสามารถกู้คืนภาพลักษณ์ของกระทรวงทรัพยากรฯ กลับคืนมาได้ เพราะเชื่อมั่นว่าการทำงานของข้าราชการในกระทรวงหลายหมื่นชีวิต ได้ทุ่มเททำงาน ด้วยกำลังกาย กำลังใจ อาบเหงื่อต่างน้ำกันอย่างเต็มที่ จนสามารถทำให้กระทรวงทรัพยากรฯ สามารถแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนได้ทุกหย่อมหญ้า ดังนั้นการทำงานจากนี้ไปก็ต้องให้กำลังใจเพื่อน ๆ ข้าราชการทุกคน ในการยึดมั่นทำตามแนวนโยบาย ไม่ว่าจะเป็นของรัฐบาล หรือนโยบายของรัฐมนตรี ที่ได้กำชับในทุกการประชุม ว่าขอให้ดำเนินการเพื่อประโยชน์ของประชาชน ด้วยความโปร่งใส ตรงไปตรงมา พร้อมย้ำว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ใครที่ผิดก็ต้องว่าตามผิด และเราไม่มีนโยบายที่จะช่วยคนผิดอย่างเด็ดขาด .-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

เชียงใหม่อากาศแปรปรวน เจอลมหนาว-ฝนตก 3 วันติด

ชาวเชียงใหม่เจอลมหนาวและฝนตกต่อเนื่อง 3 วันติด อุตุฯ ย้ำอากาศแปรปรวน เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน เชียงราย ยังมีฝนตกและลมหนาว แนะรักษาสุขภาพ

“อัจฉริยะ” ยื่นสอบปม “ทนายตั้ม” ปูดข่าวผู้บริหารปลอมเอกสารขยายอายุเกษียณ

“อัจฉริยะ” ยื่นหนังสือตรวจสอบข้าราชการช่วยผู้บริหารรัฐวิสาหกิจปลอมเอกสารขยายอายุเกษียณ คาดอาจมีทนายดังเข้าไปเอี่ยว เสนอตำรวจให้สอบพยานรายสำคัญที่เป็นประโยชน์กับ “มาดามอ้อย”

“ทนายตั้ม” เครียดหนัก หลัง 3 บิ๊ก บช.ก. สอบปากคำ

“ทนายตั้ม” เครียดหนัก หลัง 3 บิ๊กสอบสวนกลาง สอบปากคำ นานกว่า 5 ชั่วโมง ขณะที่พนักงานสอบสวนเตรียมเข้าค้น “ษิทรา ลอว์ เฟิร์ม” เช้าพรุ่งนี้ หาหลักฐานเพิ่ม ก่อนฝากขังช่วงบ่าย ค้านประกันตัว

“บิ๊กอ้อ” เผย “ทนายตั้ม-ภรรยา” มีพฤติการณ์หนี-ยุ่งเหยิงพยานฯ

“บิ๊กอ้อ” ชี้ตำรวจต้องออกหมายจับ “ทนายตั้ม” เหตุพบพฤติการณ์เตรียมหลบหนีออกนอกประเทศ และยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน นอกจากนี้ยังมีคดีต่อเนื่อง 3 คดี เตรียมแจ้งข้อหาเพิ่ม

ข่าวแนะนำ

อุตุฯ เผย “เหนือ-อีสาน” อากาศเย็นตอนเช้า-ภาคใต้ฝนหนัก

กรมอุตุฯ เผย “เหนือ-อีสาน” อากาศเย็นในตอนเช้า เตือนภาคใต้ฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง พร้อมอัปเดตเส้นทางพายุ “หยินซิ่ง”

MOU44

MOU 44 ผลประโยชน์ชาติ กับ การเมือง ตอนที่ 1

ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา เรื่องเอ็มโอยู 44 และเส้นแบ่งอาณาเขตทางทะเล หรือเส้นเคลม กลายเป็นปมร้อน ท่ามกลางความกังวลถึงผลประโยชน์ของชาติทางทะเล และสิทธิเหนือเกาะกูด ติดตามความเห็นและมุมมองจากผู้เกี่ยวข้องในรายงาน “ปมร้อน เอ็มโอยู 44 ผลประโยชน์ชาติ กับ การเมือง”

ทนายตั้ม

“ทนายตั้ม” สร้างตัวตนผ่านสื่อ หวังหาผลประโยชน์หรือไม่

หลังจากพนักงานสอบสวนควบคุมตัว “ทนายตั้ม” และภรรยา เข้าเรือนจำไปแล้ว มีคำถามตามมาว่า ทนายคนดังสร้างตัวตนจนโดดเด่นในสังคม เพื่อหาผลประโยชน์จากความน่าเชื่อถือที่สร้างไว้หรือไม่

ระเบิดปากีสถาน

ยอดเสียชีวิตจากเหตุระเบิดสถานีรถไฟปากีสถานเพิ่มเป็น 24 รายแล้ว

เหตุระเบิดสถานีรถไฟในเมืองเควตตา ทางตะวันตกเฉียงใต้ของปากีสถาน ตายเพิ่มเป็นอย่างน้อย 24 ราย บาดเจ็ดมากกว่า 40 ราย