“จินตนันท์ – นิพัทธ์”ไม่ได้คืนสิทธิผู้สมัคร กสม.

ศาลรัฐธรรมนูญ  วันนี้ (12 พ.ค.)  “จินตนันท์ – นิพัทธ์ “  ไม่ได้คืนสิทธิเป็นผู้สมัคร กสม. หลังศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยแม้มติ คกก.สรรหาตัดสิทธิเหตุเป็นอดีต สนช.ถือว่าเคยเป็น ส.ส- ส.ว. ไม่ชอบด้วยกฎหมาย  แต่ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ ม. 27  ชี้ สนช.แค่คนทำหน้าที่แทน ส.ส. ส.ว.ช่วงเปลี่ยนผ่าน   


ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยว่ามติของคณะกรรมการสรรหากรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติที่ตัดสิทธิ น.ส.จินตนันท์ ชญาต์รศุภมิตร  และพล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก  อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ   ออกจากการเป็นผู้เข้ารับการสรรหาเป็นกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ  เนื่องจากมีลักษณะต้องห้ามในการดำรงตำแหน่งตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ. 2560 มาตรา 10 (18)   เป็นมติที่ขัดต่อกฎหมาย แต่ไม่ถือเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพ หรือเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม  ขัดต่อหลักความเสมอภาคตามรัฐธรรมนูญมาตรา 27

ศาลรัฐธรรมนูญให้เหตุผล  ว่า พ.ร.ป.ว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ มาตรา 10 บัญญัติลักษณะต้องห้ามในการดำรงตำแหน่ง กสม. ไว้ว่า  กสม. ต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้ ( 18) เป็น  หรือเคยเป็น ส.ส. ส.ว. ข้าราชการการเมือง  หรือสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น ในระยะ 10 ปี  ก่อนเข้ารับการสรรหา ซึ่งเป็นไปตามหลักการของรัฐธรรมนูญมาตรา 202 (4) ที่บัญญัติลักษณะ ต้องห้ามของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ  ต้องไม่เป็นหรือเคยเป็น ส.ส. ส.ว. ข้าราชการการเมือง หรือสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น ในระยะ10ปี ก่อนเข้ารับการคัดเลือกหรือสรรหา  และรัฐธรรมนูญมาตรา 216(3) ที่บัญญัติให้ผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมถึง กสม. ต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 202 ด้วย  โดยรัฐธรรมนูญ ฉบับชั่วคราว 2557 มาตรา  6 บัญญัติให้มีสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ประกอบด้วยสมาชิกไม่เกิน 250 คนทำหน้าที่ส.ส. ส.ว.  และ รัฐสภา ต่อมามีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 60 มาตรา 263 วรรคหนึ่ง   ซึ่งเป็นบทเฉพาะกาลบัญญัติ ให้ระหว่างยังไม่มี ส.ส.และส.ว.ตามรัฐธรรมนูญนี้ ให้ สนช.  ที่ตั้งขึ้นตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 2557   ยังคงทำหน้าที่ ส.ส. ส.ว. และรัฐสภาต่อไป และให้ สนช. ที่ดำรงตำแหน่งอยู่ก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 60 ยังคงทำหน้าที่เป็นส.ส.และส.ว. ตามลำดับ ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้   และให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสมาชิกสภานิติบัญญัติ สิ้นสุดลงในวันก่อนวันประชุมรัฐสภาครั้งแรก  ภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปที่จัดขึ้นตามรัฐธรรมนูญนี้


โดยศาลรัฐธรรมนูญได้เคยมีคำวินิจฉัยที่ 1/2560 ว่า  บทเฉพาะกาลที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ  เป็นบทบัญญัติที่ยกเว้นเนื้อหาในรัฐธรรมนูญซึ่งจำเป้นต้องมีขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาในช่วงเ ปลี่ยนผ่านระหว่างการบังคับใช้รัฐธรรมนูญฉบับก่อนกับฉบับปัจจุบันเพื่อให้การบังคับใช้รัฐธรรมนูญเป็นไปอย่างราบรื่น เหมาะสมกับสภาพบ้านเมืองในระยะเริ่มแรก รวมทั้งเพื่อให้องค์กรนั้นสามารถปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญบัญญัติได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ให้เกิดช่องว่างอันจะส่งผลให้ การปฏิบัติหน้าที่ต้องหยุดชะงัก จนกว่า กลไกที่เกิดขึ้นใหม่ หรือใช้บังคับมีความพร้อม  หรือสามารถดำเนินการได้แล้วแต่กรณี 

“การปฏิบัติหน้าที่ของ สนช. จึงอยู่ในฐานะของการทำหน้าที่แทน ส.ส.  และส.ว.และสมาชิกรัฐสภาชั่วคราวในสถานการณ์จำเป็นระหว่างที่รอให้มีการจัดตั้งองค์กรฝ่ายนิติบัญญัติตามรัฐธรรมนูญเท่านั้น  ประกอบกับ  เมื่อพิจารณาคุณสมบัติที่ว่า ระยะเวลาในการดำรงแหน่ง และกรณีอื่นอีกหลายประการของ สนช.   มีความแตกต่างจาก ส.ส.และส.ว. การที่รัฐธรรมนูญมาตรา 263 วรรค 1 บัญญํติให้ สนช.ทำหน้าที่ เป็น ส.ส.และส.ว. ตามลำดับนั้น  ย่อมหมายความถึงการให้ สนช. ทำภารกิจของตนด้วยความรับผิดชอบอย่างส.ส.และส.ว. และสมาชิกรัฐสภา โดยเป็นบุคคล ที่ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่แทนในระหว่างยังไม่มีส.ส.  ส.ว.และรัฐสภา แต่มิได้หมายความว่าสนช. เป็นส.ส.หรือส.ว. หรือสมาชิกรัฐสภาแต่อย่างใด ดังนั้นการที่น.ส.จิตตนันท์ และพล.อ.นิทัทธ์ เคยดำรงตำแหน่งเป็นสนช. ตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 2557 จึงไม่ถือว่าเป็นหรือเคยเป็นส.ส.หรือส.ว.แต่อย่างใด การที่คณะกรรมการสรรหากสม.มีมติตัดสิทธิน.ส. จิตตนันท์ และพล.อ.นิพัทธ์ในการเข้ารับการสรรหาเป็นกสม. ด้วยเหตุที่เป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามตามพ.รป.ว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน มาตรา 10(18)   จึงเป็นมติไม่ชอบด้วยพ.รป.ว่าด้วยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน มาตรา 10(18)

ส่วนที่ผู้ร้องโต้แย้งว่า  มติของคณะกรรมการสรรหา กสม.ดังกล่าวไม่สอดคล้องกับการวินิจฉัยของคณะกรรมการสรรหากรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ  ซึ่งเป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญเช่นเดียวกัน  ซึ่งมีมติว่าการเป็น สนช. ไม่ถือเป็น ส.ส.หรือ ส.ว. อันเป็นลักษณะต้องห้ามในการดำรงตำแหน่งตาม พ.ร.ป.ว่าด้วย ป.ป.ช. 2561 มาตรา  11 (18)  มติดังกล่าวเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม ขัดต่อหลักความเสมอภาค เป็นกระทำที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 27 นั้น เห็นว่า ไม่ปรากฎข้อเท็จจริงว่าคณะกรรมการสรรหา กสม.เคยให้ผู้อื่นที่เป็นหรือเคยเป็นสนช.  ได้รับการสรรหาเพื่อดำรงตำแหน่งเป็นกสม.  แต่ปรากฎตามคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาและเอกสารประกอบของคณะกรรมการสรรหา กสม. ว่า ที่ผ่านมาคณะกรรมการสรรหา กสม.วินิจฉัยมาโดยตลอดว่า บุคคลใดที่เคยเป็นหรือเคยเป็นสนช.มีลักษณะต้องห้าม ทำให้ไม่มีสิทธิเข้ารับการสรรหาได้ จึงไม่มีความแตกต่างในการวินิจฉัย ของผู้ร้องเรียนทั้งสอง  มติดังกล่าวจึงไม่เป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม ไม่ขัดต่อหลักความเสมอภาค   จึงไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 27  ซึ่งเมื่อวินิจฉัยแล้วว่า มติดังกล่าวไม่ขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 27  จึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยเกี่ยวกับการเพิกถอนมติ  และการคืนสิทธิการเป็นผู้สมัครเข้ารับการสรรหาเป็น กสม.แก่  น.ส.จิตตนันท์ และพล.อ.นิพัทธ์ .-  สำนักข่าวไทย 


ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“ภูมิธรรม” แบ่งงาน 2 รมช.มหาดไทย เจ้าตัวคุม “โยธาฯ-ปค.”

กระทรวงมหาดไทย 14 ก.ค. –“ภูมิธรรม” แบ่งงาน 2 รมช.มหาดไทยแล้ว เจ้าตัวคุม “โยธาฯ – ปค.” ฟาก “เดชอิศม์” คุม “ที่ดิน – สถ.” สางปัญหาที่ดิน นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย รักษาราชการนายกฯ กล่าวว่า ขณะนี้ตนได้แบ่งงานกับทั้ง 2 รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งการทำงานของทั้ง 3 คนเราทำงานเป็นทีมเดียวกัน ส่วนหลักเกณฑ์การแบ่งก็กระจายให้ทั่วถึงเพื่อช่วยกันดูแล โดยตนกำกับดูแลกรมโยธาธิการและผังเมือง กรมการปกครอง สำนักปลัดกระทรวงมหาดไทย สำนักงานรัฐมนตรี กระทรวงมหาดไทย การประสานงานส่วนราชการในสังกัด กระทรวงมหาดไทยตาม พ.ร.บ.การบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ.2553 การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การประปาส่วนภูมิภาค และดูหน่วยงานส่วนที่เหลือทั้งหมด โดยทั้งหมดสงวนไว้ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับงบประมาณ และบุคคลซึ่งตนเป็นผู้ดูแล นายภูมิธรรม กล่าวต่อว่า ได้มอบหมายให้ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย กำกับดูแล กรมการพัฒนาชุมชน เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับสตรีและการดำเนินการเรื่องผ้าไทย รวมถึงกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย […]

รถพ่วงเบรกแตกลงเขา ชนแหลก 10 คัน เจ็บ 3

นครราชสีมา 13 ก.ค. – รถพ่วงเบรกแตกลงเขามอกลางดง ชนแหลกรวมสิบคัน บาดเจ็บ 3 คน ทำถนนมิตรภาพรถติดยาวหลายกิโลเมตร คนขับรถพ่วงบาดเจ็บ แต่ยังให้การได้ รถพ่วงบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ ชนแหลกนับ 10 คัน บนถนนมิตรภาพ ขาเข้ากรุงเทพมหานคร ช่วงลงเขามอกลางดง กิโลเมตรที่ 37-38 อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ตำรวจ สภ.กลางดง พร้อมเจ้าหน้าที่กู้ภัยหลายหน่วยระดม เข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ และช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ ที่เกิดเหตุพบรถบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์คันต้นเหตุ ยี่ห้อฮีโน่ สีขาว ทะเบียน กรุงเทพมหานคร ด้านหน้าหัวลากพังยับ นายวิทยา อายุ 34 ปี คนขับ ได้รับบาดเจ็บที่ขาซ้าย ยังนั่งอยู่บริเวณที่นั่งข้างคนขับ โดยเล่าว่า บรรทุกของมาเต็มตู้คอนเทนเนอร์ ช่วงลงเขาเกิดเบรกไม่อยู่ เนื่องจากลมหมด จึงทำให้พุ่งชนท้ายรถพ่วงบรรทุกไม้อีกคันที่อยู่ด้านหน้า จนกระเด็นไปคนละทิศละทาง ไม้กระจายเกลื่อนถนน ด้วยความแรงยังวิ่งไปเฉี่ยวชนกับรถที่วิ่งอยู่ด้านหน้าเสียหายอีก 8 คัน เป็นรถกระบะ 5 คัน, รถเก๋ง […]

มส.มีมติสั่งปลด-ถอดสมณศักดิ์ พระอาบัติปาราชิก เรียกพระ 5 รูปแจงด่วน

กรุงเทพฯ 13 ก.ค.-มหาเถรสมาคม ประชุมนัดพิเศษ มีมติสั่งปลด-ถอดสมณศักดิ์ พระอาบัติปาราชิก เผยสึกแล้ว 6 คน ยังติดต่อไม่ได้ 2 คน เตรียมแก้กฎมหาเถรสมาคม อ้างสุดล้าหลังกว่า 50 ปี ขณะที่พระเทพพัชราภรณ์ เจ้าอาวาสวัดชูจิตฯ ชิงลาออกแล้ว นายอินทพร จั่นเอี่ยม ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) แถลงข่าวภายหลังการประชุมมหาเถรสมาคมนัดพิเศษ ครั้งที่ 1/2568 ว่า สมเด็จพระสังฆราชห่วงใยต่อกระแสข่าวที่เกิดขึ้น จึงมีพระบัญชาให้มหาเถรสมาคม นิมนต์กรรมการฯประชุมเร่งด่วน ซึ่งทางกรรมการฯ มีข้อห่วงใย และมีการอภิปรายกันอย่างกว้างขวาง โดยมีมติ ดังนี้ -พระที่ถูกกล่าวหา ต้องอาบัติปราชิก ถือว่าสิ้นสุดความเป็นพระภิกษุทางวินัย และต้องสึกโดยทันที ส่วนพระที่ยังไม่ถึงขั้นปราชิก ก็ให้ปลดออกจากตำแหน่งเจ้าคณะพระสังฆาธิการทุกรูป และจะมีมติขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตถอดสมณศักดิ์-ในระยะเร่งด่วน ให้เจ้าคณะผู้ปกครองสงฆ์ทุกระดับ ตรวจสอบดูแลและกำกับพฤติกรรมองพระในปกครองอย่างใกล้ชิด หากพบพฤติกรรมละเมิดพระธรรมวินัยให้ดำเนินการสอบสวน และรายงานมหาเถรสมาคมโดยเร็ว-กรณีพระภิกษุถูกกล่าวหาผิดพระธรรมวินัย ประเภทครุกาบัติ ให้ออกคำสั่พักการปฏิบัติหน้าที่ และให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการตามกฏหมาย พร้อมขอให้ระมัดระวังการให้ข้อมูลต่อสื่อมวลชนและสาธารณชน เนื่องจากยังเป็นเพียงผู้ถูกกล่าวหา-และทบทวนปรับปรุงกฎระเบียบคณะสงฆ์ว่าด้วยการประทำผิดพระธรรมวินัย ประเภทครุกาบัติ โดยมหาเถรสมาคม เห็นควรขอประทานพระวินิจฉัยสมเด็จพระสังฆราช มีพระบัญชาโปรดให้แต่งตั้งคณะกรรมการพิเศษเพื่อคุ้มครองพระพุทธศาสนาคณะหนึ่ง […]

ส่งตัวดำเนินคดี นักท่องเที่ยวไทยทำร้ายทหารกัมพูชา

สุรินทร์ 13 ก.ค.-ทบ. เผยนักท่องเที่ยวไทยต่อยทหารกัมพูชา ที่ปราสาทตาเมือนธม เป็นอดีตทหารพราน ส่งตัวให้ตำรวจดำเนินคดีตามกฎหมาย เมื่อวันที่ 13 ก.ค.68 พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบกกล่าวถึงกรณีที่งนักท่องเที่ยวชาวไทย ทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ทหารกัมพูชาชุดประสานงาน ที่บริเวณปราสาทตาเมือนธม จังหวัดสุรินทร์ ว่า กองทัพบกได้รับรายงานจากกองกำลังสุรนารี ว่า เมื่อเวลาประมาณ 10.20 น. ได้เกิดเหตุการณ์นักท่องเที่ยวชาวไทยทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ทหารกัมพูชาชุดประสานงาน ณ บริเวณปราสาทตาเมือนธม โดยผู้ก่อเหตุได้ชกเจ้าหน้าที่กัมพูชา ทั้งทางด้านหลังและด้านหน้า ก่อนจะหลบหนีออกจากพื้นที่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยสามารถติดตามและควบคุมตัวได้ในเวลาต่อมา จากการตรวจสอบเบื้องต้น ทราบว่าผู้ก่อเหตุคือ นายสมหมาย ศรีศุกรานันทน์ อดีตอาสาสมัครทหารพราน ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานชมรมทหารพรานจิตอาสาค่ายปักธงชัย และประธานเครือข่ายทหารผ่านศึกจังหวัดสมุทรสาคร ทั้งนี้ เนื่องจากบริเวณพื้นที่เกิดเหตุเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ทางเจ้าหน้าที่ทหารฝ่ายไทย ได้ทำความเข้าใจกับผู้เสียหายไปแล้วในเบื้องต้น เพื่อพยายามไม่ให้กระทบความสัมพันธ์ในระดับเจ้าหน้าที่ทั้งสองฝ่าย สำหรับผู้ก่อเหตุ ได้ให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ดำเนินการไปตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป.-313.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

วธ. ยันกัมพูชาไม่ได้สอดไส้วรรณกรรมไทย ขึ้นทะเบียนต่อยูเนสโก

กทม. 15 ก.ค.-กรมส่งเสริมวัฒนธรรม ยืนยันกัมพูชาไม่ได้นำวรรณกรรมไทย 22 รายการ สอดไส้ขึ้นทะเบียนต่อยูเนสโก กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ออกหนังสือชี้แจง ตามที่มีการกล่าวอ้างในเพจดังกล่าวว่า “นี่คือวรรณกรรมไทย ที่กัมพูชานำไปสอดไส้ขึ้นทะเบียนต่อ Unesco และได้รับการขึ้นทะเบียนไปเรียบร้อย เพราะรัฐบาลไทยปล่อยปละละเลยและไม่คัดค้านเลยแม้แต่นิดเดียว…” กระทรวงวัฒนธรรม ขอขอบคุณท่านที่ห่วงใยต่อกรณีประเทศกัมพูชานำวรรณกรรมไทย จำนวน 22 รายการ นำไปขึ้นทะเบียนต่อยูเนสโก ในหัวข้อ มรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของกัมพูชา เพื่อใช้ในการแสดง Royal Ballet of Cambodia เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้กับยูเนสโก ทั้งนี้ กระทรวงวัฒนธรรมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อมูลดังกล่าว และขอชี้แจง ดังนี้ 1.ข้อมูลที่อ้างว่ามีการขึ้นทะเบียน “วรรณกรรมไทย 22 รายการ” โดยกัมพูชา ไม่เป็นความจริง เนื่องจากกัมพูชาไม่ได้เสนอขอขึ้นทะเบียนวรรณกรรม จำนวน 22 เรื่อง ต่อองค์การยูเนสโก แต่กัมพูชาได้เสนอขึ้นทะเบียน The Royal Ballet of Cambodia ซึ่งเป็นศิลปะการแสดงโบราณของกัมพูชา และยูเนสโกได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ เมื่อปี พ.ศ. 2546 […]

รวมพลัง 5 ศาสนา เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

15 ก.ค. – กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมการศาสนา จัดพิธีทางศาสนามหามงคล 5 ศาสนา เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม นางสาวแพทองธาร ชินวัตร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม พร้อมด้วย องค์การทางศาสนาทั้ง 15 องค์การ จาก 5 ศาสนา ได้แก่ ศาสนาพุทธ ศาสนาอิสลาม ศาสนาคริสต์ ศาสนาพราหมณ์ – ฮินดู และศาสนาซิกข์ รวมทั้งหน่วยงานเครือข่าย มีผู้เข้าร่วมทั้งผู้ประกอบพิธีทางศาสนา ผู้นำทางศาสนา ศาสนิกชน เครือข่ายสถานศึกษา ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่กระทรวงวัฒนธรรม รวมกว่า 1,000 คน ร่วมพิธีทางศาสนามหามงคล 5 ศาสนา เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม จัดขึ้น ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย เพื่อถวายพระราชกุศลและถวายพระพรชัยมงคล แสดงความจงรักภักดีและสำนึก ในพระมหากรุณาธิคุณ ที่พระองค์ทรงมีต่อพสกนิกรทุกหมู่เหล่า กิจกรรมประกอบด้วย พิธีถวายพระพรชัยมงคล […]

หน่วยงาน 3 ป. แถลงปฏิบัติการจับกุม “สีกากอล์ฟ” จ่อขยายผลเส้นเงิน

บก.ป. 15 ก.ค.- ตำรวจแถลงปฏิบัติการจับกุม “สีกากอล์ฟ” ตรวจสอบเงินในบัญชี 3 ปีย้อนหลัง พบมีเงินหมุนเวียน 385 ล้านบาท ส่วนใหญ่โอนไปเว็บพนัน เหลือเงินในบัญชี 8,000 บาท ขณะที่พระผิดธรรมวินัยทยอยลาสิกขาแล้ว 9 รูป จากทั้งหมด 13 รูป พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. พร้อมด้วยนายภูมิวิศาล เกษมสุข เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ท., พ.ต.ท.สิริพงษ์ ศรีตุลา ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ท., นายกมลสิษฐ์ วงศ์บุตรน้อย รองเลขาธิการคณะกรรมการ ปปง., นายสุขสันต์ ประสาระเอ ผู้อำนวยการสำนักสืบสวนและกิจการพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการ ป.ป.ช., พล.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผบก.ปปป., พล.ต.ต.วิทยา ศรีประเสริฐภาพ ผบก.ป., พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รอง ผบก.ป. ตำรวจกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) ร่วมกับ […]

“ปราสาทตาเมือนธม” วุ่น ทหารกัมพูชาเกือบ 1 กองร้อย กรูเข้าฝั่งไทย

กทม. 15 ก.ค.-ทบ.อยู่ระหว่างตรวจสอบปมความวุ่นวาย “ปราสาทตาเมือนธม” หลังมีข่าวทหารกัมพูชาเกือบ 1 กองร้อย กรูเข้าฝั่งไทย ด้าน มทภ.2 ยันสถานการณ์ปกติ อย่าตื่นตระหนก 15 ก.ค.68 ที่กองบัญชาการกองทัพบก พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก อยู่ระหว่างตรวจสอบข้อมูล หลังเกิดเหตุความไม่เรียบร้อยที่ปราสาทตาเมือนธม ตำบลตาเมียง อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์ จากกรณีหญิงชาวกัมพูชา ตะโกนใส่ทหารไทยว่าล้ำเส้นเข้าไปในเขตประเทศกัมพูชา และมีการทะเลาะกันเสียงดัง ทำให้ทหารไทยและทหารกัมพูชาที่อยู่ในจุดนั้นต้องเข้ามาห้าม แต่เหตุการณ์ลุกลาม ทหารกัมพูชาเกือบ 1 กองร้อย วิ่งเข้ามาในบริเวณฝั่งไทย ตรงบันไดทางขึ้นปราสาทตาเมือนธม ทางด้านทหารไทยก็ได้เข้าไปอยู่ในจุดดังกล่าวด้วย โดยสถานการณ์มีการผลักอกกัน ตะโกนโวยวาย ล่าสุด พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 แจงว่า ปราสาทตาเมือนธม เหตุการณ์ปกติ ไม่มีอะไร ขอให้ประชาชนอย่าตื่นตกใจ.-313.-สำนักข่าวไทย