รัฐสภา 13 ส.ค. – ที่ประชุมสภาฯ เริ่มถกงบฯ 69 วันแรกแล้ว “พิชัย” แจงรายงาน กมธ. เหตุหั่นงบ 8,920 ล้านบาท เพราะไม่สอดคล้องภาาวะปัจจุบัน-การเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย
ในการประชุมสภาฯ เป็นพิเศษ เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 วงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท วาระสอง ซึ่งกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญ พิจารณาแล้วเสร็จเป็นวันแรก โดยมีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ เป็นประธานการประชุม
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ในฐานะประธานกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปี งบประมาณ พ.ศ. 2569 ว่า คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้พิจารณาร่างงบประมาณ 69 เรียบร้อยแล้ว โดยคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ให้ความสำคัญกับการดำเนินภารกิจเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล ยุทธศาสตร์ชาติ แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคแห่งชาติ เป้าหมายพัฒนาที่ยั่งยืน
รวมทั้งแผนปฏิบัติราชการของกระทรวง โดยพิจารณาตามความจำเป็นและภารกิจของหน่วยรับงบประมาณ และแผนพัฒนาพื้นที่ตามความต้องการของประชาชน ตลอดจนคำนึงถึงฐานะการคลัง เสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนหน่วยรับงบประมาณภายใต้หลักธรรมาภิบาล สุจริต โปร่งใส และเป็นธรรม เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติและประชาชน
นายพิชัย กล่าวว่า มีข้อสังเกตในภาพรวมที่สำคัญเพื่อให้รัฐบาลดำเนินการเกี่ยวกับสถานการณ์เศรษฐกิจปีงบประมาณ 69 ซึ่งมีแนวโน้มชะลอตัวกว่าที่คาดการณ์ไว้ ส่งผลกระทบต่องบประมาณด้านรายได้และรายจ่าย การเตรียมงบประมาณเพื่อรองรับมาตรการกีดกันทางการค้าของประเทศเศรษฐกิจหลัก และการบริหารจัดการหนี้สาธารณะให้ลดลงระยะยาว เพื่อให้มีพื้นที่การคลังไว้ใช้ในยามเกิดวิกฤติทางเศรษฐกิจ โดยไม่กระทบต่อเสถียรภาพทางการคลังในอนาคต พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาแต่ละจังหวัดที่มีความเฉพาะเจาะจงและแตกต่างกันไปตามบริบทในพื้นที่ โดยให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมเพื่อให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงในพื้นที่
ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ได้ปรับลดประมาณจำนวน 8,920,781,300 บาท โดยได้พิจารณาสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน รวมทั้งเป้าหมาย ผลการดำเนินงานจริง ความคุ้มค่าและความพร้อมในการดำเนินงาน และศักยภาพในการใช้จ่ายงบประมาณ ตลอดจนให้ความสำคัญกับเงินนอกงบประมาณ หรือรายได้ที่จัดเก็บของหน่วยรับงบประมาณเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณา เช่น
1.รายการที่มีผลการดำเนินงานล่าช้ากว่าแผนที่กำหนดไว้ คาดว่าไม่สามารถใช้จ่ายไม่ทันปีงบประมาณ หรือรายการผูกพันงบประมาณเดิมที่ต่ำกว่างบประมาณเสนอไว้
2.รายการไม่สอดคล้องสถานการณ์ปัจจุบันหรือดำเนินการไปแล้วแต่ไม่ได้เพิ่มประสิทธิภาพการใช้งบประมาณ
3.รายการที่ชะลอได้ โดยไม่กระทบภารกิจให้บริการประชาชนหรือทบทวนโครงการให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย
4.รายการที่ยกเลิกหรือใช้งบจากส่วนอื่นนอกจากงบประาณได้ เช่น เงินที่จัดเก็บเอง เงินสะสมคงเหลือ
นายพิชัย ชี้แจงต่อว่า สำหรับการเพิ่มงบประมาณได้พิจารณาตามความเหมาะสม จำเป็นเพียงพอต่อการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงาน ได้แก่
1.งบกลาง เพื่อเงินสำรองกรณีฉุกเฉินจำเป็น
2.สำนักนายกรัฐมนตรี เพิ่มในส่วนเงินเดือนของบุคลากรของสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน)
3.กระทรวงการคลัง ได้เพิ่มงบประมาณให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในจัดการประชุมสภาผู้ว่าธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ปี69
4.กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กรมส่งเสริมพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ เป็นค่าใช้จ่ายสนับสนุนปรับสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยของคนพิการ
5.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ของกรมฝนหลวง เพื่อบรรเทาปัญหาหมอกควัน ฝุ่นละอองขนาดเล็ก
6.กระทรวงยุติธรรม ให้กับกรมคุมประพฤติ เป็นค่าใช้จ่ายในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อติดตามผู้ถูกคุมประพฤติผู้ติดยาเสพติด
7.กระทรวงแรงงาน ในส่วนสำนักงานประกันสังคม เป็นค่าใช้จ่ายตามสิทธิ์ในการชำระเงินสมทบของฝ่ายรัฐบาล สำหรับเงินสมทบกองทุนประกันสังคม ในส่วนที่รัฐค้างชำระ
8.รัฐวิสาหกิจ ของการรถไฟขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย เป็นค่าใช้จ่ายสนับสนุนค่างานโยธาตามสัญญาสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงบางขุนนนท์-ศูนย์วัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร
9.จัดสรรให้ หน่วยงานศาล และหน่วยงานองค์กรอิสระ และองค์กรอัยการ เพื่อเป็นงบบุคลากรและสนับสุนนดำเนินงานตามภารกิจ
ทั้งนี้ นายพิชัย กล่าวว่า กมธ.ได้เปลี่ยนแปลงงบประาณรายจ่าย ใน 2 ส่วน คือ ลดงบกระทรวงสาธารณสุข 70 ล้านบาท ในส่วนการถ่ายโอนบุคลากร เพื่อเพิ่มให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อเป็นเงินอุดหนุนบุคลากรสำหรับการถ่ายโอนบุคลากรใน สถานีอนามัยเฉลิมพระเกียรติ และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล และ ลดงบประมาณของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น 114 ล้านบาท เพื่อให้กับเทศบาลเมือง 3 แห่ง และเทศบาลตำบล 1 แห่ง
“สำหรับการพิจารณารายละเอียดงบประมาณ ปรับลด เพิ่มและเปลี่ยนแปลงงบประมาณ คณะกรรมาธิการวิสามัญได้ให้ความสำคัญเป็นพิเศษ ต่อความพร้อมและศักยภาพของหน่วยงาน ความซ้ำซ้อน เป้าหมายดำเนินงาน ผลการดำเนินงานที่ผ่านมาและภารกิจกระตุ้นเศรฐกิจ การแก้ปัญหาความเป็นอยู่ของประชาชนและ ประโยชน์โดยตรงกับประชาชน รวมถึงสนับสนุนให้เศรษฐกิจเติบโต เข้มแข็ง รองรับปัจจัยภายในและภายนอกได้อย่างมีเสถียรภาพ รวมถึงการดำเนินงานไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้อยู่ในกรอบวงเงิน 3.78 ล้านล้านบาท” นายพิชัย กล่าว.-319 -สำนักข่าวไทย