ตร.ไซเบอร์เตือนภัยบัตรเครดิตถูกหักเงินชำระค่าโฆษณาโดยไม่ทราบสาเหตุ

กรุงเทพฯ 12 ก.พ. – ตำรวจไซเบอร์เตือนภัยบัตรเครดิตถูกหักเงินชำระค่าโฆษณาสื่อสังคมออนไลน์ โดยไม่ทราบสาเหตุ


พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ โฆษกกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ขอประชาสัมพันธ์เตือนภัยบัตรเครดิตถูกหักเงินชำระค่าโฆษณาสื่อสังคมออนไลน์โดยไม่ทราบสาเหตุ ดังนี้

ตามที่ปรากฏเป็นข่าวในสื่อสังคมออนไลน์ มีผู้เสียหายหลายรายแจ้งว่า บัตรเครดิตของตนถูกหักเงินไปชำระค่าโฆษณาสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ ยกตัวอย่าง เช่น กรณีของผู้เสียหายรายหนึ่งถูกหักเงินจากบัตรเครดิตไปชำระค่าโฆษณาของแอปพลิเคชัน TikTok กว่า 7,000 บาท หรือผู้เสียหายอีกกรณีถูกหักเงินจากบัตรเครดิตไปชำระค่าโฆษณาแอปพลิเคชัน Facebook กว่า 18,000 บาท เป็นต้น ซึ่งทั้งสองกรณีผู้เสียหายยืนยันว่าไม่ได้ทำธุรกรรมดังกล่าว ไม่เคยผูกบัตรเครดิตไว้กับแอปพลิเคชันใดๆ และในการถูกหักเงินออกจากบัตรเครดิตก็ไม่ได้รับรหัส OTP เพื่อยืนยันการทำธุรกรรม รวมไปถึงไม่พบการพยายามเข้าถึงระบบ (Login) ของแอปพลิเคชันดังกล่าวด้วย นั้น


ที่ผ่านมา กองบังคับการตรวจสอบและวิเคราะห์อาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ตอท.) ได้ทำการสนับสนุนตรวจสอบหาสาเหตุของการหลอกลวงในรูปแบบดังกล่าวในอีกหลายรูปแบบ เช่น กรณีมิจฉาชีพอ้างเป็นสถาบันการเงินหลอกให้กดลิงก์อัปเดตข้อมูล ทำให้เงินในบัญชีผู้เสียหายสูญหายไป และยังเป็นหนี้บัตรเครดิตอีกจำนวนมาก หรือกรณีมิจฉาชีพแอบอ้างเป็นพนักงาน บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต โทรศัพท์แจ้งผู้เสียหายว่าได้รับค่าสินไหมทดแทนจากการติดเชื้อโควิด-19 ขอข้อมูลเพื่อยืนยันตัวตน เช่น หมายเลขบัญชีธนาคาร รหัส OTP เป็นต้น

โดยจากการตรวจสอบและวิเคราะห์พบว่า มักจะเกิดได้จาก 2 กรณีหลัก คือ กรณีแรกเกิดจากการที่ผู้เสียหายเผลอให้ข้อมูลบัตรกับมิจฉาชีพ ไม่ว่าจะเป็นการถูกหลอกลวงให้เข้าไปกรอกข้อมูลทางการเงินผ่านเว็บไซต์ปลอม หรือแอปพลิเคชันปลอม หรือการให้บัตรเครดิตไปกับผู้อื่น เพื่อทำธุรกรรมการเงินในชีวิตประจำวัน แล้วบุคคลนั้นนำข้อมูลที่ได้ไปใช้แสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ เป็นต้น กรณีที่สองอาจจะเกิดจากการที่ผู้เสียหายกดลิงก์ติดตั้งแอปพลิเคชันปลอม หรือลิงก์โฆษณาต่างๆ ที่ฝังมัลแวร์ดักรับข้อมูลของมิจฉาชีพ ทั้งนี้ ต้องนำโทรศัพท์ของผู้เสียหายแต่ละรายมาตรวจสอบโดยละเอียดอีกครั้ง เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงว่าเกิดจากสาเหตุใด เช่น ตรวจสอบการใช้งานโทรศัพท์ว่า ก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายได้ทำธุรกรรมใดหรือไม่ หรือผู้เสียหายติดตั้งแอปพลิเคชันใดบ้าง เป็นต้น

ตามนโยบายของรัฐบาล โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งรับผิดชอบงานในด้านการป้องกันปราบปราม ได้ให้ความสำคัญ และมีความห่วงใยต่อภัยการหลอกลวงประชาชนผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับการชักชวนหลอกลวงลงทุนออนไลน์ การระดมทุนที่ผิดกฎหมาย โดยได้กำชับไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งวางมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดในโลกออนไลน์ทุกรูปแบบอย่างต่อเนื่องและจริงจัง


ที่ผ่านมา กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดย พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้ขับเคลื่อนตามนโยบายของรัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดในโลกออนไลน์ทุกรูปแบบ มุ่งเน้นการประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้แก่ประชาชนไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ

การกระทำดังกล่าวเข้าข่ายเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 269/5 ใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบ ในประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และหากมีการนำข้อมูลเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ โดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน ก็จะมีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 (1) ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หรือความผิดตามกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

โฆษก บช.สอท. กล่าวเพิ่มเติมว่า ขอฝากประชาสัมพันธ์ไปยังประชาชนให้พึงระมัดระวังการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล ข้อมูลทางการเงิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลเลขหลังบัตรเครดิต หรือเดบิต (CVV) หรือรหัสเพื่อยืนยันความปลอดภัยในการชำระค่าสินค้าหรือบริการ ผ่านเว็บไซต์ หรือช่องทางออนไลน์ต่างๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ โดยมีแนวทางป้องกัน ดังต่อไปนี้

  1. หากไม่จำเป็นไม่ควรใช้บัตร ไม่เปิดเผยข้อมูลบัตรให้ผู้อื่นล่วงรู้ และอย่าให้บัตรคลาดสายตาเมื่อต้องใช้บัตร ป้องกันการถูกลักลอบนำข้อมูลไปใช้
  2. หลีกเลี่ยงการทำธุรกรรมออนไลน์ที่ไม่น่าเชื่อถือ ที่ต้องกรอกข้อมูลเลขด้านหน้าบัตร และรหัส 3 ตัวหลังบัตร (CVV)
  3. หลีกเลี่ยงการกดลิงก์ หรือติดตั้งแอปพลิเคชันที่ไม่รู้จัก ไม่รู้แหล่งที่มา ควรติดตั้งผ่าน AppStore หรือ Playstore เท่านั้น
  4. ระมัดระวังการกรอกข้อมูลหมายเลขบัตรผ่านเว็บไซต์ปลอม หรือแอปพลิเคชันปลอม ที่มิจฉาชีพสร้างขึ้นมาให้เหมือนกับเว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชันจริง เพื่อหลอกเอาข้อมูล โดยหากต้องการเข้าไปที่เว็บไซต์ใด ให้พิมพ์ชื่อเว็บไซต์ด้วยตัวเองเท่านั้น
  5. หากต้องการซื้อสินค้าหรือบริการประเภทดังกล่าว ควรใช้บัตรเดบิต โดยการโอนเงินเข้าบัตรเพื่อชำระค่าสินค้าหรือบริการเท่าที่จะชำระโดยเฉพาะ
  6. ตั้งค่าแจ้งเตือนการทำรายการผ่านข้อความสั้น (SMS) หรือแอปพลิเคชันไลน์ (Line)
  7. ไม่บันทึกรายละเอียดบัตรไว้กับเบราว์เซอร์ เช่น Chrome, Firefox หรือ Safari โดยเด็ดขาด
  8. ควรนำแผ่นสติกเกอร์ทึบแสงปิดรหัส 3 ตัวด้านหลังบัตร (CVV) แล้วจำรหัส 3 ตัวดังกล่าวเอาไว้ เพื่อความปลอดภัยในการใช้จ่ายประจำวัน
  9. หมั่นตรวจสอบรายการบัญชีอย่างสม่ำเสมอ หากพบสิ่งผิดปกติให้รีบแจ้งไปยังสถาบันการเงิน เพื่อทำการอายัดบัตร และปฏิเสธการชำระเงินค่าสินค้าหรือบริการทางออนไลน์โดยทันที. – สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ตัดไฟแก๊งคอลเซ็นเตอร์

PEA ตัดไฟแก๊งคอลเซ็นเตอร์บริเวณชายแดนไทย-เมียนมา 5 จุด

เริ่มแล้ว การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) รับนโยบาย สมช.สั่งตัดไฟฟ้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในฝั่งเมียนมา 5 จุด เมื่อเวลา 09.00 น. วันนี้

บุกจับกำนันหญิงแหนบทองคำ ฉ้อโกง 41 ล้าน

ตำรวจพิษณุโลกเปิดปฏิบัติการ “หักขาไก่” นำ 10 หมายจับ รวบตัว “กำนันหญิงแหนบทองคำ” ประธานกองทุนหมู่บ้าน กับคณะกรรมการกองทุนฯ ร่วมฉ้อโกงประชาชน หลังชาวบ้าน 140 ราย แจ้งความ มูลค่าความเสียหาย 41 ล้านบาท

ชาวเมียวดีหวั่นถูกตัดไฟฟ้า เตรียมเทียนไข-ไฟโซลาร์เซลล์

ชาวบ้านเมียวดี ฝั่งเมียนมา ตรงข้ามชายแดนแม่สอด จ.ตาก หวั่นไทยตัดไฟฟ้า กระทบวงกว้าง เตรียมเทียนไข-ไฟโซลาร์เซลล์-เครื่องปั่นไฟ รับมือ ด้าน PEA ชี้ตัดไฟเมียนมาอาจสูญเปล่า หากไม่พิจารณาให้ครบถ้วน

ข่าวแนะนำ

พิรงรองคุก2ปี

คุก 2 ปี “พิรงรอง” กสทช. คดี “ทรู” ฟ้องกลั่นแกล้ง

ศาลสั่งจำคุก 2 ปี “พิรงรอง” คณะกรรมการ กสทช. ไม่รอลงอาญา ผิดมาตรา 157 ชี้มีเจตนากลั่นแกล้ง “ทรูไอดี” ให้ได้รับความเสียหาย กรณีออกหนังสือเตือนโฆษณาแทรกในทีวีดิจิทัล

นายกฯพบสีจิ้นผิง

นายกฯ เข้าเยี่ยมคารวะ “สี จิ้นผิง”

นายกฯ เข้าเยี่ยมคารวะ “สี จิ้นผิง” ย้ำความสัมพันธ์ทางการทูตและหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจ ด้านจีนหนุนไทยมีบทบาทในเวที ระดับโลกและภูมิภาค

ตัดไฟแก๊งคอลเซ็นเตอร์

“ภูมิธรรม” ลงพื้นที่แม่สอด ชี้ยังสรุปไม่ได้ หลังตัดไฟเมื่อวาน

“ภูมิธรรม” ลงพื้นที่แม่สอด ชี้ยังสรุปไม่ได้ หลังตัดไฟแก้ปัญหาคอลเซ็นเตอร์ ขอทำไปประเมินไป อย่าทำให้เป็นประเด็น มองเป็นสิทธิฝั่งเมียนมาซื้อไฟฟ้าจากลาว ลั่นเดี๋ยวต้องคุยอีก ย้ำตัดไฟครั้งนี้ไม่ได้ใช้อารมณ์ รู้อยู่กระทบเศรษฐกิจบ้าง แต่แค่ 0.1%

รวบแล้วนักโทษหนีเรือนจำนนทบุรี จนมุมที่ จ.ชลบุรี

จับได้แล้วนักโทษชายหนีเรือนจำจังหวัดนนทบุรี ระหว่างออกกองงานภายนอก จนมุมที่หน้าโรงแรมแห่งหนึ่งย่านบางแสน จ.ชลบุรี ก่อนนำตัวมาสอบสวนและดำเนินคดีที่ สภ.เมืองนนทบุรี