กรุงเทพฯ 23 มี.ค.-กรมโรงงานอุตสาหกรรมลุยรีไซเคิลซากรถทั่วประเทศ โดยจับมือภาครัฐ-เอกชน เน้นทำลายอย่างถูกวิธี เพื่อนำเหล็กกลับมาใช้ในระบบ ลดปัญหาฝุ่น PM 2.5
นายวันชัย พนมชัย อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) เปิดเผยว่า ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 กระทรวงอุตสาหกรรม การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และ องค์การพัฒนาพลังงานใหม่ และเทคโนโลยี อุตสาหกรรม หรือ NEDO ได้ร่วมลงนามบันทึกความร่วมมือ (MOU) โครงการสาธิต สำหรับการใช้ทรัพยากรหมุนเวียนที่คำนึงถึงการอนุรักษ์พลังงานเพื่อการรีไซเคิลทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ และเหมาะสมสำหรับซากยานพาหนะที่หมดอายุใช้งานในประเทศไทย (ELV Project: End-of-life Vehicles in Thailand) เพื่อสร้างระบบหมุนเวียนการใช้ทรัพยากรที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพจากซาก รถยนต์ที่ใช้แล้วในประเทศไทย เพื่อเป็นต้นแบบการรีไซเคิลทั้งในประเทศไทย และในภูมิภาคเอเชียในอนาคต จึงได้มีการสรุปทำเป็นคู่มือมาตรฐานการทำงาน (คู่มือการแยกชิ้นส่วน) ตลอดจนแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมสำหรับการถอดแยกซากรถยนต์ เพื่อเสนอแนวทางการจัดการ สร้างแรงจูงใจให้ผู้ที่มีรถยนต์เก่า นำรถยนต์มาทำลายอย่างถูกวิธี พร้อมทั้งกระตุ้นให้มีการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจโดย การซื้อรถยนต์ใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น นำไปสู่การเกิดระบบจัดการซากรถยนต์อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างเป็นรูปธรรมในประเทศไทยต่อไป
พระนครศรีอยุธยา ดำเนินงานตั้งแต่การรวบรวมรถยนต์ที่หมดอายุการใช้งาน การรื้อชิ้นส่วนยานพาหนะ ตลอดจนการกำจัดของเสียที่เกิดขึ้นจากยานพาหนะ ที่ไม่สามารถใช้ประโยชน์จาก ชิ้นส่วนรถยนต์อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่ง กรอ. จะได้ผลักดันให้ธุรกิจชนิดนี้เกิดการขยายตัว เพื่อลดปริมาณการ นำเข้าเหล็กจากต่างประเทศ และเป็นการนำทรัพยากรจากการแยกซากรถมาหมุนเวียนให้กลายเป็นชิ้นส่วนที่เป็น ประโยชน์ต่ออุตสาหกรรม อาทิ ยาง พลาสติก โลหะมีค่าสกัดได้จากชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และโลหะที่เป็นเหล็ก ซึ่งในรถยนต์หนึ่งคันมีสัดส่วนเหล็กมากถึง 69% คิดเป็นมูลค่ากว่าสามหมื่นบาทต่อคัน ทั้งนี้ ประเทศไทยมีกำลัง การบริโภคเหล็กอยู่ที่ 19 ล้านตันต่อปี โดยเป็นการนำเข้า 12 ล้านตัน และผลิตเอง 7 ล้านตัน
“จากสถิติจำนวนรถจำแนกตามอายุรถทั่วประเทศ กรมการขนส่งทางบก ณ วันที่ 31 มกราคม 2565 ประเทศไทยมีรถยนต์ที่มีอายุการใช้งานมากกว่า 20 ปี ทุกประเภท รวมทั้งสิ้น 5,033,307 คัน ซึ่งหากรีไซเคิลซากรถทั้ง 5 ล้านคัน จะได้เหล็กประมาณ 6.55 ล้านตัน และคาดว่าในระยะ 20 ปีข้างหน้าจำนวน รถยนต์ที่มีอายุการใช้งานมากกว่า 20 ปี จะเพิ่มเป็น 16 ล้านคัน ซึ่งรถยนต์เก่าที่มีอายุการใช้งานยาวนาน และขาด การบำรุงรักษาตามมาตรฐานเป็นสาเหตุหลักอย่างหนี่งของปัญหาฝุ่น PM 2.5 การนำไปรีไซเคิลจึงมีความจำเป็น อย่างยิ่ง” อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรมกล่าว. -สำนักข่าวไทย