เชียงใหม่ 23 ธ.ค. – กรมส่งเสริมสหกรณ์เผยข่าวดี ร่วมกับไจก้า ประเทศญี่ปุ่นพัฒนาคุณภาพกาแฟสหกรณ์ดอยสะเก็ดเชียงใหม่จนสำเร็จ โดยพัฒนากระบวนการผลิตกาแฟจนได้คุณภาพเกรดพรีเมี่ยม ส่งออกให้บริษัทญี่ปุ่น 4 บริษัทแล้ว
นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์กล่าวว่า ร่วมติดตามโครงการการจัดการหลังเก็บเกี่ยวและการพัฒนาฐานชุมชนสำหรับผลิตภัณฑ์ชุมชน (กาแฟอาราบิกา) ที่สหกรณ์การเกษตรดอยสะเก็ดพัฒนา จำกัด อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่กับ Mr.Takahiro Morita หัวหน้าผู้แทนสำนักงานไจก้าประเทศไทย (Chief Representative of JICA Thailand) Mr.Hanazawa Takafumi โดยร่วมมือกันทำโครงการดังกล่าวต่อเนื่องมาปีที่ 2 และจะเริ่มดำเนินการต่อไปเป็นปีที่ 3 ในปี 2565 เพื่อเป็นการขยายผลไปสู่การยกระดับกาแฟของสหกรณ์การเกษตรดอยสะเก็ดพัฒนา จำกัดของไทยไปสู่เวทีกาแฟเกรดพรีเมี่ยมในตลาดระดับประเทศและระดับนานาชาติ ตามหลักของการส่งเสริมการผลิตที่ยั่งยืนไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟคุณภาพมีรายได้เพิ่มขึ้นและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ในโครงการได้สนับสนุนด้านวิชาการ ถ่ายทอดความรู้ และให้คำแนะนำสมาชิกสหกรณ์ในการพัฒนาการผลิตกาแฟให้มีคุณภาพ ตั้งแต่กระบวนการปลูก การแปรรูป การทำกาแฟพิเศษ (Specialty Coffee) และกาแฟจากแหล่งเพาะปลูกเดียว (single origin) โดยกาแฟของสหกรณ์ปลูกอยู่ในตำบลเทพเสด็จซึ่งเป็นแหล่งปลูกกาแฟที่ได้รับการรับรองให้เป็นสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (จีไอ)
สำหรับเทคโนโลยีที่ถ่ายทอดให้เกษตรกรได้แก่ ส่งเสริมให้เกษตรกรเก็บกาแฟที่มีลักษณะสุกจัดเพื่อให้ได้เมล็ดกาแฟที่มีคุณภาพดี โดยการทำริสแบนด์ติดที่ข้อมือเกษตรกร เพื่อให้เป็นคู่มือเทียบสีในขณะเก็บเกี่ยวกาแฟ เพื่อให้เกษตรกรสามารถเลือกเก็บเมล็ดกาแฟที่มีระดับความสุกที่เหมาะสม ซึ่งจะทำให้ได้เมล็ดกาแฟที่มีคุณภาพสูง
ทั้งนี้ความร่วมมือในปีที่ 3 จะมีเป้าหมายการขยายผลไปสู่การพัฒนาการตลาด การจับคู่ธุรกิจ ซึ่งเบื้องต้นกรมฯ ได้สนับสนุนให้มีการจับคู่ธุรกิจผ่านระบบออนไลน์กับบริษัทญี่ปุ่น 4 บริษัท ที่ให้ความสนใจ นอกจากนี้หากสถานการณ์โควิดดีขึ้นในปีหน้า กรมฯยังได้วางแผนการจัดงานเปิดบ้านสหกรณ์ (Open House) เพื่อประชาสัมพันธ์กาแฟที่ได้รับการพัฒนาคุณภาพของสหกรณ์ จากนั้นจะขยายผลองค์ความรู้ด้านการพัฒนาคุณภาพกาแฟไปสู่ไปยังสหกรณ์ผู้ปลูกกาแฟอื่นๆ เพื่อให้เกิดความยั่งยืนในการส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพกาแฟของสหกรณ์ทั้งระบบ
Mr.Takahiro Morita หัวหน้าผู้แทนสำนักงานไจก้าประเทศไทยกล่าวว่า เมื่อแรกเริ่มโครงการในปี 62 ได้มีการนำคณะทำงานของไทยเดินทางไปญี่ปุ่น เพื่อศึกษาการพัฒนาธุรกิจกาแฟของญี่ปุ่นและนำความรู้มาปรับกระบวนการพัฒนากาแฟ ในไทย โดยได้ส่งผู้เชี่ยวชาญจากญี่ปุ่น คือนายโอคาดะมาช่วยดูแลกระบวนการผลิตกาแฟให้กับสมาชิกสหกรณ์ดอยสะเก็ดเป็นเวลา 1 ปี จากการเยี่ยมสวนกาแฟที่บ้านปางบงของสมาชิกสหกรณ์การเกษตรดอยสะเก็ดฯ ประทับใจที่ได้มีการนำวิธีการเก็บเกี่ยวที่มีการพัฒนาด้วยกันมาใช้ในการเก็บเกี่ยวกาแฟเชอร์รี่ ไจก้าจึงจะร่วมส่งเสริมการตลาดกับภาคเอกชนจึงควรมีการหารือและสานต่อโครงการนี้
นายประหยัด เสนน้อง ผู้จัดการสหกรณ์การเกษตรดอยสะเก็ดพัฒนา จำกัด กล่าวว่า สหกรณ์ได้ร่วมกับไจก้าในการดำเนินโครงการ โดยคัดเลือกเกษตรกร 44 ราย เป็นเกษตรกรนำร่อง 12 รายที่จะเริ่มการพัฒนา ผลพบว่าในช่วง 2 ปี ที่ดำเนินการคุณภาพกาแฟดีขึ้น สามารถส่งเสริมการผลิตกาแฟจากแหล่งเพาะปลูกเดียวหรือ single origin ได้จนเป็นที่ยอมรับ โดยพื้นที่ปลูกกาแฟของเกษตรกรส่วนมากอยู่ในป่าและมีต้นไม้หลากหลาย จึงทำให้มีกลิ่นที่พิเศษ มีเทสโน้ต (taste note) โทนผลไม้ตระกูลส้ม ได้แก่ ซิตรัส เลมอน และน้ำผึ้ง ซึ่งกาแฟ Single Origin นี้ สามารถขายได้ในราคาที่ดีกว่ากาแฟทั่วไปเนื่องจากผู้ผลิตรายอื่นยังไม่สามารถทำได้มากนัก สำหรับการผลิตกาแฟของสมาชิกนั้นจะใช้ความรู้จากไจก้าส่งเสริมการปลูก การเก็บ ซึ่งสหกรณ์จะรับซื้อกาแฟจากสมาชิกโดยใช้ราคารับซื้อแบบขั้นบันได เพื่อจูงใจให้สมาชิกพัฒนาผลผลิตให้ได้คุณภาพ โดยในปี 2563 ได้มีการรวบรวมกาแฟกะลา 17 ตัน และปี 64 จำนวน 22 ตัน ส่วนปี 65 มีแผนรวบรวมกาแฟกะลา 35 ตัน และกาแฟเชอร์รี่ 18 ตัน จากเกษตรกร 7 หมู่บ้านที่ส่งให้สหกรณ์ สหกรณ์ได้มีการทดสอบรสชาติทุกราย โดยสหกรณ์ได้ส่งกาแฟของสมาชิกสหกรณ์เข้าประกวดงานสุดยอดกาแฟไทย (Thai Coffee Excellence) ที่มีกรมวิชาการเกษตรเป็นผู้ร่วมจัดงาน โดยกาแฟของสมาชิกได้ลำดับที่ 14 คะแนนการชิม (cupping score) 82.40 นอกจากนี้ ยังได้ส่งกาแฟของสมาชิกเข้าประกวดงาน National Coffee Competition by SCATH 2021 ซึ่งจัดโดยสมาคมกาแฟพิเศษแห่งประเทศไทย ได้คะแนนมากกว่า 80 คะแนน ดังนั้น ต่อไปสหกรณ์จะเน้นการพัฒนากาแฟพิเศษให้มากขึ้น
นายอานนท์ พวงเสน คนรุ่นใหม่ซึ่งเป็นลูกหลานสมาชิกสหกรณ์การเกษตรดอยสะเก็ดพัฒนา จำกัด ที่ได้รับรางวัลประกาศนียบัตรเหรียญทองแดง ในงานประกวดสุดยอดกาแฟไทยปี 2564 ประเภทคุณภาพกาแฟระดับดีมาก (very good) กาแฟอะราบิกา กระบวนการแปรรูปด้วยวิธีเปียก (wet process) คะแนนการชิม (cupping score) 83.03 รวมทั้งมีแบรนด์กาแฟ “DOI PANG BONG” เป็นของตนเองด้วย กล่าวว่า พ่อแม่ปลูกกาแฟ 40 ปี ตนเองเพิ่งกลับมาอยู่บ้านและเริ่มทำจริงจัง 4 ปี ทั้งนี้ อยากให้ประชาชนได้ลิ้มลองรสชาติและทราบว่ากาแฟคุณภาพจากบ้านปางบงเป็นอย่างไร จึงได้เริ่มทำแบรนด์ DOI PANG BONG ออกมาสู่ตลาด โดยใช้ความรู้จากไจก้าที่มาถ่ายทอด จะเก็บกาแฟที่สุกเต็มที่ เพื่อให้ได้คุณภาพที่ดีออกมาเป็นกาแฟที่ดี ผลผลิตของตนจะได้ 2-3 ตันต่อปี พื้นที่ 30 ไร่ รายได้ประมาณ 200,000-300,000 บาทต่อปี โดยสหกรณ์จะรับซื้อกะลาจากเกษตรกร การพัฒนาต่อไปคือการรักษาพันธุ์ พัฒนาคุณภาพและมุ่งสู่เวทีประกวด เพื่อให้ทราบว่าต้องพัฒนาอะไรเพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภค เชื่อว่าตลาดของกาแฟคุณภาพยังมี แต่ต้องประชาสัมพันธ์ให้ผู้บริโภครับทราบว่า มีกาแฟดีที่ไหนบ้าง.-สำนักข่าวไทย