กรุงเทพฯ 8 ก.ย. – กอช. จับมือ สสว. สร้างเงินบำนาญเพื่อวัยเกษียณ ให้กับผู้ประกอบการ SME พร้อมลุย 3 จังหวัด นำร่องฝึกอาชีพ มีรายได้ สร้างเงินออม
นายจักรกฤศฏิ์ พาราพันธกุล รองปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่าง กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) และสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) โดยมุ่งเน้นให้ความช่วยเหลือ สนับสนุนผู้ประกอบการ SME ให้เข้มแข็ง ด้านการเงินได้ในภาวะเศรษฐกิจที่มีการแข่งขันสูงและมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ได้ตระหนักถึงการวางแผนทางการเงิน มีเงินออมไว้ใช้รายเดือนหลังเกษียณ เพื่อเป็นหลักประกันความมั่นคงในอนาคต
นางสาวจารุลักษณ์ เรืองสุวรรรณ เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เปิดเผยว่า กอช. เป็นกองทุนบำนาญภาคประชาชน มีภารกิจสำคัญในการผลักดันให้ประชาชนที่ไม่มีสวัสดิการจากรัฐบาลได้เข้าถึงการออม เสริมเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจพื้นฐานของประเทศ รวมถึงรองรับสภาพสังคมของประเทศที่มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรสู่สังคมผู้สูงอายุ เพื่อให้คนไทยได้ตระหนักถึงการออมเงินไว้ใช้ยามเกษียณหลังอายุ 60 ปี สำหรับผู้ที่มีอายุระหว่าง 15–60 ปี โดยเริ่มออมเงินตั้งแต่ 50 บาท สูงสูด 13,200 บาท ต่อปี ทุกครั้งที่สมาชิกส่งเงินออมสะสม รัฐบาลจะเติมเงินสมทบเพิ่มให้ตามช่วงอายุ อาทิ อายุ 15–30 ปี รัฐสมทบให้ 50% ของเงินออมสะสม สูงสุด 600 บาทต่อปี อายุ >30–50 ปี รัฐสมทบให้ 80% ของเงินออมสะสม สูงสุด 960 บาทต่อปี อายุ >50–60 ปี รัฐสมทบให้ 100% ของเงินออมสะสม สูงสุด 1,200 บาทต่อปี
ในการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ระหว่าง กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) กับ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ในครั้งนี้ เป็นการบูรณาการความร่วมมือกัน เพื่อสนับสนุนสร้างหลักประกันบำนาญให้แก่ประชาชนแรงงานนอกระบบ โดยเฉพาะที่ยังไม่ได้รับสวัสดิการภาคบำนาญได้มีเงินออมไว้ใช้ยามเกษียณ ซึ่ง กอช. จะมีการให้ความรู้ในการวางแผนทางการเงิน เพื่อส่งเสริมการออมให้กับบุคลากร ผู้ประกอบการ ตลอดจนครอบครัวของกลุ่มผู้ประกอบการ ภายใต้การกำกับดูแล สสว. ที่ไม่มีสวัสดิการจากรัฐ ได้มีเงินออมสะสมไว้ใช้ในยามเกษียณ เมื่อไม่มีแรงทำงาน เพื่อสร้างความมั่นคง และยั่งยืนในชีวิต
นางสาวจารุลักษณ์ เลขาธิการ กอช. กล่าวเพิ่มเติมว่า “สำหรับสมาชิก สสว. 3,000 ท่านแรกที่สมัครและส่งเงินออมสะสมกับ กอช. จำนวน 13,200 บาท จะได้รับของที่ระลึกเป็นกระเป๋าเดินทางพับได้จัดส่งให้ถึงบ้าน และมีสิทธิเป็นผู้โชคดีรับรางวัลในเดือนธันวาคม 2563 รวมมูลค่ากว่า 1,000,000 บาท ทั้งนี้ กอช. ขอขอบคุณ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ สสว. ที่เล็งเห็นความสำคัญในการส่งเสริมการออมเงินร่วมกัน โดยจะมีการลงพื้นที่นำร่องทั่วประเทศเพื่อให้ความรู้ด้านอาชีพแก่ประชาชนทั่วไป ควบคู่กับการให้ความรู้การวางแผนการออมเงิน เพื่อความมั่นคงทางการเงินในชีวิต และ กอช. หวังเป็นอย่างยิ่งว่าทาง สสว. จะให้ความสนับสนุน กอช. ที่ดีแบบนี้ตลอดไป
สำหรับที่ผู้ที่สนใจการออมกับ กอช. สามารถสมัคร และตรวจสอบสิทธิก่อนการสมัครด้วยเลขบัตรประจำตัวประชาชน 13 หลัก ที่แอปพลิเคชัน “กอช.” Line @nsf.th หรือ หน่วยรับสมัครสมาชิกใกล้บ้านท่าน อาทิ ที่ว่าการอำเภอทั่วประเทศ สำนักงานคลังจังหวัด สถาบันการเงินชุมชน ตัวแทน กอช. ประจำหมู่บ้าน ธนาคารของรัฐทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ ธนาคาร ธ.ก.ส. ธอส. ธนาคารออมสิน และธนาคารกรุงไทย ทุกสาขา รวมทั้งเคาน์เตอร์เซอร์วิส และเครือข่ายรับสมัครทั่วประเทศ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนเงินออม โทร. 02-049-9000”
ด้านนายวีระพงศ์ มาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่า สสว. ได้ประสานความร่วมมือกับ กอช. ที่จะช่วยกันสร้างวินัยทางการเงินให้กับผู้ประกอบการ ด้วยภารกิจด้านการสนับสนุนผู้ประกอบการ และการส่งเสริมการออมแก่ประชาชน ด้วยการเชิญชวนให้ผู้ประกอบการรายย่อยหรือบุคลากรในหน่วยงาน ที่ยังไม่มีสวัสดิการอื่นใดของรัฐตามที่กฎหมายกำหนดไว้ ได้มีเงินออมไว้ใช้เป็นบำนาญรายเดือนในวัยเกษียณ ด้วยการออมเงินกับ กอช. โดยผู้ประกอบการจะได้รับความรู้ความเข้าใจการบริหารเงินทางธุรกิจ (Financial Literacy) ทำให้มีการวางแผน และบริหารจัดการเงินของธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในด้านการใช้จ่าย การออมเงิน และการจัดการหนี้สิน ซึ่งเป็นภูมิคุ้มกันทางการเงินที่สำคัญ ภายใต้ความร่วมมือนี้มีเป้าหมายผู้ประกอบการรายย่อยที่ให้ความสำคัญ 3 กลุ่มหลัก ๆ คือ กลุ่มที่ 1 ผู้ประกอบการที่เป็นสมาชิก กอช. แต่ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนสมาชิกกับ สสว. กลุ่มที่ 2 คือ ผู้ที่ขึ้นทะเบียนเป็นสมาชิก สสว. แล้ว แต่ยังไม่ได้ออมเงินกับ กอช. และกลุ่มสุดท้ายคือ ผู้ประกอบการที่ยังไม่ได้เป็นสมาชิกทั้ง สสว. และ กอช.
โดย สสว. และ กอช. จะดำเนินกิจกรรมฝึกอบรมอาชีพให้แก่สมาชิกร่วมกัน โดยเน้นการฝึกอาชีพที่มีความต้องการของตลาดหรือพื้นที่นั้น ๆ โดยจะคัดเลือกพื้นที่นำร่อง 3 จังหวัดได้แก่ จังหวัดสงขลา ขอนแก่น และปทุมธานี เพื่อเป็นการต่อยอดให้สมาชิกสามารถมีธุรกิจการให้บริการได้ในพื้นที่นั้นๆ อนึ่ง ในการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการ สสว. ยังมีโครงการต่าง ๆ ที่จะพัฒนาปัจจัยเอื้อต่อการเติบโตของกลุ่ม Micro ให้เติบโตได้ตามวงจรธุรกิจ รวมถึงการพัฒนาเครือข่ายที่ปรึกษาและผู้ประกอบการไปด้วยกัน
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการที่สนใจสามารถติดต่อข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ OSS ของ สสว. ทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศ หรือโทรศัพท์ 1301 นอกจากนี้ ยังมี Application SME Connext ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือของ สสว. ที่จะทำให้ผู้ประกอบการได้ทราบข้อมูลสิทธิประโยชน์ และการให้บริการต่าง ๆ โดยสามารถ Download Application นี้ได้แล้ว . – สำนักข่าวไทย