นครราชสีมา 2 ต.ค. – ธปท.แจง กนง.ขึ้นดอกเบี้ยร้อยละ 0.25 เหมาะสมกับเศรษฐกิจไทย ไม่ต้องผูกค่าเงินตามสหรัฐ เพราะเศรษฐกิจแตกต่างกัน ย้ำขึ้นดอกเบี้ยไม่ใช่ปัจจัยเดียวของกำหนดการไหลเข้าออกของเงินทุนต่างชาติ พร้อมประชุม กนง.นัดพิเศษหากจำเป็น คาดเศรษฐกิจไทยปีนี้ขยายตัว 3.3% ส่วนปี 2566 ที่ 3.8%
นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงกรณีนักเศรษฐศาสตร์ตั้งข้อสังเกตว่าการที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 เมื่อวันที่ 28 กันยายนที่ผ่านมา น้อยเกินไป จนไม่สามารถสกัดการอ่อนค่าของค่าเงินบาท เนื่องจากส่วนต่างระหว่างไทยกับสหรัฐยังสูงจนเกิดเงินทุนต่างชาติไหลออกต่อเนื่องนั้น โดยผู้ว่าฯ ธปท. ยืนยันว่าไทยไม่มีนโยบายในการผูกค่าเงินบาทกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ และนโยบายการเงินของไทยก็ไม่จำเป็นต้องดำเนินตามธนาคารกลางสหรัฐเช่นกัน เพราะเศรษฐกิจไทยและสหรัฐแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ดังนั้น การที่สหรัฐขึ้นดอกเบี้ยแรง ไทยจึงไม่จำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ยในอัตราที่เท่ากัน การเอานโยบายการเงินของสหรัฐมาชี้นำเศรษฐกิจไทยคงไม่เหมาะ เพราะถ้าหากไทยขึ้นดอกเบี้ยตามสหรัฐ ค่าเงินบาทของไทยก็จะแข็งค่าเกินสกุลเงินภูมิภาคทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ถ้ามีเหตุผลที่จำเป็น กนง.สามารถจัดประชุมนัดพิเศษได้ แต่ที่ผ่านมาตลาดได้รับรู้ถึงแนวทางการขึันดอกเบี้ยของเฟดในอีก 2 ครั้งที่เหลือของปีนี้ไปแล้ว จึงเชื่อว่า ลกระทบต่อตลาดการเงินจะมีไม่มากแล้ว
ด้านนายเมธี สุภาพงษ์ รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพด้านการเงิน ธปท. ระบุการที่ กนง. ขึ้นดอกเบี้ยนโยบายร่อยละ 0.25 ต่อเนื่อง 2 ครั้ง เพราะเศรษฐกิจไทยแตกต่างจากเศรษฐกิจสหรัฐที่มีความร้อนแรงและเงินเฟ้อสูง จึงต้องขึ้นดอกเบี้ยแรงเงินสกัดเงินเฟ้อ ยืนยันส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยไม่ได้เป็นตัวกำหนดการไหลออกของเงินทุนต่างชาติเพียงอย่างเดียว เพราะแต่ละประเทศมีปัจจัยเฉพาะที่แตกต่างกัน แม้ว่าเงินบาทจะอ่อนค่าแต่ก็ยังมีเงินทุนต่างชาติไหลเข้าสุทธิ 3,900 ล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ทุนไหลออกเพียง 600- 700 ล้านเหรียญ ซึ่งเป็นระดับปกติไม่ได้น่ากังวล และที่ผ่านมาก็มีตัวอย่าง มีบางประเทศที่ขึ้นดอกเบี้ยอัตราที่สูงกว่าไทย แต่ค่าเงินก็ยังอ่อนค่า แม้ว่าส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยจะไม่แตกต่างกับสหรัฐมากนัก เช่น เกาหลีใต้ ที่ดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ร้อยละ 2.5 ส่วนต่างดอกเบี้ยกับสหรัฐที่ร้อยละ 3-3.5 แต่ค่าเงินวอนอ่อนค่า หรือ ค่าเงินเยน ของประเทศญี่ปุ่นที่อ่านค่าร้อยละ 20.2 เงินปอนด์อ่อนค่าร้อยละ 19.8
สำหรับประเทศไทย คาดการณ์ว่าเงินเฟ้อระยะต่อไปจะปรับลดลง จากที่จะสูงสุดในช่วงไตรมาส 3 ปี 2565 และจะกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในกลางปี 2566 และที่สำคัญการขึ้นดอกเบี้ยเยอะและเร็ว จะกระทบต่อกลุ่มเปราะบาง และอาจมีผู้ที่เดือดร้อน เพราะกลุ่มคนเปราะบางยังมีภาระหนี้ครัวเรือนที่สูงอยู่ถึงร้อยละ 88 ต่อจีดีพี ในไตรมาส 2 ซึ่งสูงมากกว่าเกณฑ์ที่ไม่ควรเกินร้อยละ 80 ต่อจีดีพี พร้อมคาดการณ์เศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัวที่ 3.3% ส่วนปี 2566 ที่ระดับ 3.8% .-สำนักข่าวไทย