รัฐนิวเซาท์เวลส์ยกเลิกคำสั่งทำงานจากบ้านแล้ว

ซิดนีย์ 14 ธ.ค. – รัฐนิวเซาท์เวลส์ยกเลิกคำสั่งให้ประชาชนทำงานจากบ้านในวันนี้เป็นวันแรก หลังออสเตรเลียมีผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ในระดับต่ำมาก ขณะที่หลายบริษัทยังคงอนุโลมให้พนักงานบางส่วนทำงานจากบ้านต่อไปจนถึงปีหน้า รัฐนิวเซาท์เวลส์มีประชากรมากที่สุดในออสเตรเลีย และมีนครซิดนีย์ เมืองใหญ่ที่สุดในประเทศเป็นเมืองหลวง เริ่มประกาศผ่อนคลายมาตรการด้านสาธารณสุขที่บังคับใช้มาเกือบตลอดทั้งปีนี้ หลังจากไม่พบผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่ในชุมชนติดต่อกันเป็นวันที่ 10 แล้ว แต่บริษัทใหญ่หลายแห่งยังไม่มีแผนที่จะให้พนักงานกลับมาทำงานในบริษัทโดยทันที เนื่องจากใกล้ถึงวันหยุดเทศกาลคริสต์มาสในอีก 10 วันข้างหน้า กรรมการบริหารสภาทรัพย์สินออสเตรเลียประจำรัฐนิวเซาท์เวลส์กล่าวว่า เป็นเรื่องยากที่จะทำให้พนักงานกลับมาทำงานในสำนักงานตามปกติ ขณะนี้ย่านธุรกิจของนครซิดนีย์มีอัตราผู้ทำงานในสำนักงานเพียงร้อยละ 45 เทียบกับในช่วงก่อนโรคโควิด-19 ระบาดที่มีร้อยละกว่า 90 สมาชิก 2 ใน 3 ของสภาทรัพย์สินคาดว่า พนักงานจะกลับมาทำงานในสำนักงานเพิ่มขึ้นในอีก 3 เดือนข้างหน้าหรือนานกว่านั้น คอมมอนเวลท์ แบงค์ ออฟ ออสเตรเลีย ซึ่งเป็นหนึ่งในธนาคารรายใหญ่สุดของออสเตรเลียและมีสำนักงานใหญ่ที่นครซิดนีย์เผยว่า จะเริ่มให้พนักงานกลับมาทำงานในสำนักงานเช่นกัน แต่ก็จะรับฟังความเห็นของพนักงานในการสรรหาวิธีทำงานที่ตอบโจทย์ทั้งลูกค้า ทีมงาน และพนักงานแต่ละคนด้วย รัฐนิวเซาท์เวลส์ถือเป็นรัฐแรกในออสเตรเลียที่ยกเลิกการใช้คำสั่งให้ประชาชนทำงานจากบ้านก่อนรัฐอื่น ๆ ขณะที่รัฐวิกตอเรียเป็นเพียงรัฐเดียวที่ยังคงใช้คำสั่งให้พนักงานทำงานจากบ้าน และจำกัดผู้ที่เข้ามาทำงานในสำนักงานได้ไม่เกินร้อยละ 25 ส่วนรัฐอื่น ๆ ให้ขึ้นอยู่กับนโยบายของบริษัทหากพนักงานต้องการทำงานจากบ้านต่อไป. -สำนักข่าวไทย

โตเกียว-นาโงย่าอาจถูกถอดจากโครงการไปเที่ยว

โตเกียว 14 ธ.ค.- รัฐบาลญี่ปุ่นกำลังพิจารณาว่าจะถอดกรุงโตเกียว และเมืองนาโงย่า ออกจากโครงการสนับสนุนการท่องเที่ยวในประเทศหรือไม่ เนื่องจากสองเมืองนี้กำลังเป็นแหล่งแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไสรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 รัฐบาลญี่ปุ่นจะจัดประชุมคณะทำงานในวันนี้ เพื่อหารือว่าจะทำอย่างไรกับโครงการ “ออกไปเที่ยว” (Go To Travel) ที่เปิดขึ้นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 นายกรัฐมนตรี โยชิฮิเดะ ซูงะกล่าววานนี้ว่า โครงการนี้มีส่วนช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของท้องถิ่นอย่างมาก รัฐบาลกลางจะร่วมกับรัฐบาลท้องถิ่นหามาตรการรับมือที่เหมาะสมเพื่อควบคุมการแพร่กระจายของไวรัส รัฐบาลท้องถิ่นกรุงโตเกียวได้ขอให้บาร์และร้านอาหารที่ให้บริการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ปิดบริการก่อนเวลามาตั้งแต่ปลายเดือนพฤศจิกายน แต่ดูเหมือนไม่ได้ช่วยลดการระบาดมากนัก เพราะเมื่อวันเสาร์กรุงโตเกียวมีผู้ป่วยรายวันทำสถิติสูงสุดกว่า 600 คน แม้ขณะนี้กรุงโตเกียวจะยังไม่ถูกถอดออกจากโครงการ “ออกไปเที่ยว” แต่ทางเมืองได้ขอให้ผู้สูงอายุและผู้มีปัญหาสุขภาพงดเว้นการเข้าร่วมโครงการไปจนถึงวันพฤหัสบดีนี้ ที่ผ่านมามีเมืองใหญ่ถูกถอดออกจากโครงการ “ออกไปเที่ยว” แล้ว 2 เมือง ได้แก่ ฮอกไกโด และโอซากา และรัฐบาลกลางกำลังพิจารณาขยายมาตรการคุมเข้มใน 2 เมืองนี้ เนื่องจากไวรัสยังคงแพร่ระบาด.-สำนักข่าวไทย

เยอรมนีคุมเข้มมาตรการป้องกันโควิด-19

เบอร์ลิน 14 ธ.ค.- เยอรมนีเตรียมเพิ่มการคุมเข้มมาตรการป้องกันการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 หลังติดเชื้อและตายเพิ่ม นายกรัฐมนตรีอังเกลา แมร์เคิล ของเยอรมนีประกาศว่า จะเพิ่มความเข้มงวดของมาตรการควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19 เพื่อควบคุมยอดผู้ป่วยรายใหม่ทั่วประเทศ หลังจากเมื่อวันศุกร์มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มกว่า 29,000 คน และเสียชีวิตเพิ่มอีก 598 คน ซึ่งเป็นสถิติใหม่ของประเทศ เยอรมนีจะกำหนดให้ร้านค้าปลีกส่วนใหญ่ ยกเว้นร้านค้าที่จำเป็น ปิดให้บริการตั้งแต่วันพุธ ไปจนถึงวันที่ 10 มกราคม รวมถึงจะปิดโรงเรียนด้วย ส่วนการห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นอกบ้านจะยังมีผลบังคับใช้ต่อไป ส่งผลให้ปีนี้ผู้คนไม่สามารถดื่มไวน์ร้อน ซึ่งเป็นเครื่องดื่มตามประเพณีในช่วงคริสต์มาสในสถานที่กลางแจ้งได้เหมือนทุกปี นายกรัฐมนตรีแมร์เคิลกล่าวว่า เทศกาลจับจ่ายช่วงคริสต์มาสผู้คนมีการพบปะทางสังคมกันเพิ่มขึ้น จึงขอย้ำถึงความจำเป็นที่จะต้องกำหนดข้อจำกัดที่เข้มงวดขึ้น เพื่อลดภาระของระบบสาธารณสุข เนื่องจากที่ผ่านมา แม้เยอรมนีจะปิดบาร์ ร้านอาหาร และสถานประกอบการอื่นๆ ทั่วประเทศมาตั้งแต่วันที่ 2 พฤศจิกายน โรคโควิด-19 ก็ยังคงระบาดอย่างต่อเนื่อง.-สำนักข่าวไทย

ผู้สนับสนุนทรัมป์ยังคงประท้วงผลเลือกตั้ง

โอลิมเปีย 14 ธ.ค.- กลุ่มผู้สนับสนุนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐประท้วงโดยอ้างเรื่องทรัมป์ถูกปล้นชัยชนะ และเกิดการปะทะกับฝ่ายตรงข้าม กลุ่มอนุรักษ์นิยมที่อ้างโดยไม่มีหลักฐานว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ถูกปล้นชัยชนะในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน ได้ประท้วงทั่วสหรัฐเมื่อวันเสาร์ตามเวลาท้องถิ่น การประท้วงที่รัฐวอชิงตันเกิดความรุนแรงขึ้นประปราย ตำรวจต้องเข้าแยกกลุ่มประท้วงและกลุ่มตรงข้ามเป็นระยะๆ สื่อท้องถิ่นในเมืองโอลิมเปีย เมืองเอกของรัฐวอชิงตัน รายงานว่า มีผู้ถูกยิง 1 ราย และมีผู้ถูกจับกุม 3 คน หลังการปะทะกันระหว่างกลุ่มผู้สนับสนุนกับกลุ่มที่ต่อต้านทรัมป์ ขณะที่ในเมืองอื่นๆ ของสหรัฐก็เกิดการประท้วงเช่นกัน เช่น นครแอตแลนตาของรัฐจอร์เจีย ซึ่งเป็นอีกรัฐที่ทีมหาเสียงของทรัมป์พยายามจะล้มล้างชัยชนะของ โจ ไบเดน และที่เมืองโมบิล รัฐแอละแบมา ทรัมป์จากพรรครีพับลิกันยังคงปฏิเสธที่จะยอมรับความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้ง โดยอ้างอย่างไม่มีหลักฐานว่า ถูกปล้นชัยชนะเพราะมีการโกงเลือกตั้งครั้งใหญ่ แม้ศาลของรัฐบาลกลางและหลายรัฐของสหรัฐมีคำตัดสินสนับสนุนชัยชนะของไบเดนมากกว่า 50 คำตัดสินแล้วก็ตาม และเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ศาลสูงสหรัฐก็เพิ่งยกฟ้องคำร้องจากเทกซัส ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากทรัมป์ที่ขอให้ยกเลิกผลการเลือกตั้งใน 4 รัฐ.-สำนักข่าวไทย

เยอรมนีเตรียมล็อกดาวน์มากขึ้นก่อนคริสต์มาส

เบอร์ลิน 11 ธ.ค. – เยอรมนีอาจจะต้องขยายมาตรการล็อกดาวน์ให้ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศมากขึ้นก่อนถึงเทศกาลคริสต์มาส เพื่อควบคุมยอดผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 รายวันที่พุ่งสูงขึ้น นายฮอร์สต์ ซีโฮเฟอร์ รัฐมนตรีกลาโหมเยอรมนีกล่าวว่า มาตรการล็อกดาวน์เป็นเพียงหนทางเดียวที่จะช่วยควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19 ในเยอรมนี แต่ต้องรีบประกาศใช้ทันที หากรอให้ถึงเทศกาลคริสต์มาส เยอรมนีอาจมีผู้ป่วยติดเชื้อในระดับสูงไปอีกหลายเดือน ขณะที่นายปีเตอร์ อัลท์เมเออร์ รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจเยอรมนีเผยว่า ยอดผู้ป่วยติดเชื้อที่พุ่งสูงขึ้นเป็นเรื่องที่น่ากังวล รัฐบาลเยอรมนีและเหล่ามุขมนตรีจะต้องขยายมาตรการล็อกดาวน์ให้ครอบคลุมพื้นที่อื่น ๆ ในประเทศด้วย ด้านทางการรัฐบาเดิน-เวือร์ทเทมแบร์กของเยอรมนีระบุว่า นายกรัฐมนตรีอังเกลา แมร์เคิล ของเยอรมนีและมุขมนตรีทั้ง 16 รัฐจะประชุมร่วมกันในวันอาทิตย์นี้ เพื่อหารือเกี่ยวกับการใช้มาตรการใหม่ควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19 ก่อนหน้านี้ ทางการเยอรมนีประกาศใช้มาตรการล็อกดาวน์เฉพาะบางพื้นที่ในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมาที่รวมถึงการสั่งปิดร้านอาหารและบาร์ และจำกัดจำนวนผู้คนที่พบปะ แต่ยังคงอนุญาตให้เปิดโรงเรียนและร้านค้า ขณะที่นางแมร์เคิลได้เรียกร้องให้ทางการรัฐต่าง ๆ ของเยอรมนีประกาศใช้มาตรการเข้มงวดขึ้นก่อนคริสต์มาส แต่กลับถูกคัดค้าน สถาบันโรแบร์ท ค็อก หรืออาร์เคไอ หน่วยงานควบคุมโรคของเยอรมนีรายงานวันนี้ว่า มียอดผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นเกือบ 30,000 คน และผู้เสียชีวิตราว 600 คน ทำให้มียอดผู้ป่วยติดเชื้อสะสม 1.29 ล้านคน และผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 21,064 คน. […]

สหรัฐจะคืนที่ตั้งทางทหารบางแห่งให้เกาหลีใต้

โซล 11 ธ.ค.- กองทัพสหรัฐตกลงในวันนี้ว่า จะคืนที่ตั้งทางทหาร 12 แห่งให้แก่เกาหลีใต้ บางแห่งอยู่ใจกลางกรุงโซล หลังจากรับปากตั้งแต่ปี 2545 ว่าจะคืนให้ทั้งหมด 80 แห่ง เพื่อให้เกาหลีใต้นำไปปรับปรุงพัฒนา สหรัฐประจำการทหารในเกาหลีใต้ตั้งแต่ช่วงสงครามเกาหลีปี 2493-2496 หลายปีมานี้ทั้งสองประเทศถกเถียงกันเรื่องภาระค่าใช้จ่ายในการดูแลทหารอเมริกัน 28,500 นายในเกาหลีใต้ กองกำลังสหรัฐในเกาหลีหรือยูเอสเอฟเค (USFK) เห็นพ้องในปี 2545 ว่าจะส่งคืนที่ตั้งทางทหาร 80 แห่งให้เกาหลีใต้นำไปปรับปรุงพัฒนา แต่ล่าช้ามาจนถึงปัจจุบันเพราะตกลงกันไม่ได้เรื่องค่าใช้จ่ายทำความสะอาดก่อนส่งคืน หน่วยงานรัฐบาลเกาหลีใต้แถลงวันนี้ว่า ทั้งสองฝ่ายได้ข้อสรุปเรื่องแผนการส่งคืนที่ตั้งทางทหาร 12 แห่ง โดยมีเงื่อนไขว่า จะหารือเรื่องค่าใช้จ่ายทำความสะอาดต่อไป ในจำนวนนี้ 6 แห่งอยู่ในกรุงโซล รัฐบาลจะปรับปรุงพื้นที่ สร้างสิ่งอำนวยความสะดวกด้านที่พักและการค้าเพื่อชะลอราคาห้องชุดพักอาศัยที่ปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่กระทรวงสาธารณสุขและทางการกรุงโซลกำลังพิจารณาแผนสร้างโรงพยาบาลรัฐเฉพาะด้านโรคติดเชื้อ ณ ที่ตั้งทางทหารหนึ่งแห่งที่ได้รับคืน ชาวเกาหลีใต้ในหลายพื้นที่ประท้วงมาหลายปีให้กองทัพสหรัฐคืนพื้นที่ให้พลเรือน เพราะเห็นว่าการมีที่ตั้งทางทหารเป็นอุปสรรคต่อแผนการพัฒนาและไม่เป็นผลดีต่อราคาอสังหาริมทรัพย์.-สำนักข่าวไทย

โพลชี้หญิงอเมริกันกังวลวัคซีนโควิดมากกว่าชาย

นิวยอร์ก 11 ธ.ค. – ผลสำรวจความคิดเห็นชาวอเมริกันของรอยเตอร์/อิปซอสชี้ว่า ผู้หญิงชาวอเมริกันรู้สึกวิตกกังวลมากกว่าผู้ชายเรื่องการรีบเร่งพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ผลสำรวจความคิดเห็นชาวอเมริกันในช่วงวันที่ 2 – 8 ธันวาคมที่ผ่านมาพบว่า ผู้หญิงอเมริกันร้อยละ 35 ระบุว่า ไม่สนใจเท่าใดหรือไม่สนใจเลยที่จะเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 9 จากผลสำรวจครั้งก่อนในเดือนพฤษภาคม ซึ่งเป็นช่วงที่วัคซีนอยู่ระหว่างการพัฒนา ขณะที่ผู้หญิงร้อยละ 55 ระบุว่า สนใจมากหรือค่อนข้างสนใจเข้ารับการฉีดวัคซีน ลดลงร้อยละ 6 จากครั้งก่อน อย่างไรก็ดี ผู้ชายอเมริกันร้อยละ 68 บอกว่า สนใจเข้ารับการฉีดวัคซีน ซึ่งไม่ต่างไปจากผลสำรวจครั้งที่แล้ว ผลสำรวจเดือนนี้พบว่า ในภาพรวมแล้วชาวอเมริกันที่ยินดีฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 มีร้อยละ 61 ลดลงร้อยละ 4 จากผลสำรวจเดือนพฤษภาคม และพบว่า ผู้ปกครองที่ต้องการให้บุตรหลานฉีดวัคซีนลดลงจากร้อยละ 62 เหลือร้อยละ 53 ผู้อำนวยการศาสตร์การดำเนินการและพฤติกรรมของคณะสาธารณสุขจอห์นส์ฮอปกินส์บลูมเบิร์ก มหาวิทยาลัยจอห์นส์ฮอปกินส์ของสหรัฐกล่าวว่า การโน้มน้าวผู้หญิงให้ยอมรับวัคซีนมีความสำคัญต่อการควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19 เนื่องจากผู้ที่เป็นแม่มักเป็นคนที่จัดการนัดพบแพทย์และคอยติดตามการฉีดวัคซีนต่อเนื่อง ผู้หญิงมีความระมัดระวังสูง และชอบศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม การทำให้พวกเธอเชื่อมั่นว่าวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ไม่ได้ใช้ขั้นตอนลัดในกระบวนการอนุมัติจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง. -สำนักข่าวไทย

ฮ่องกงจะได้วัคซีนโควิดจีนเดือนหน้า

ฮ่องกง 11 ธ.ค.- นางแคร์รี หล่ำ ผู้บริหารฮ่องกงเผยว่า ฮ่องกงจะได้รับวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 จากซิโนแวกไบโอเทคของจีนและไฟเซอร์/ไบโอเอ็นเทคในไตรมาสแรกของปีหน้า โดยจะได้รับชุดแรกจากจีนก่อน นางหล่ำเผยว่า รัฐบาลได้สั่งซื้อวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 แล้ว 15 ล้านโดส สำหรับฉีดให้ประชากร 7.5 ล้านคน ๆ ละ 2 โดส แยกเป็นวัคซีนจีนและวัคซีนสหรัฐ/เยอรมนีอย่างละครึ่ง วัคซีนของซิโนแวกชุดแรก 1 ล้านโดสจะมาถึงในเดือนมกราคม ส่วนวัคซีนของไฟเซอร์/ไบโอเอ็นเทคชุดแรก 1 ล้านโดสจะมาถึงในไตรมาสแรก รัฐบาลตั้งเป้าจะซื้อทั้งหมด 30 ล้านโดส และกำลังเจรจาสั่งซื้อจากแอสตราเซนเนกาของอังกฤษ คาดว่าจะมาถึงในครึ่งหลังของปีหน้า ผู้บริหารฮ่องกงเผยว่า ผู้ที่จะได้รับวัคซีนเป็นกลุ่มแรกคือ ผู้สูงวัยและกลุ่มเสี่ยง ฮ่องกงพบผู้ป่วยโรคโควิด-19 ตั้งแต่เดือนมกราคม และสามารถควบคุมการระบาดได้ค่อนข้างดีแม้มีการระบาดหลายระลอก โดยมีผู้ป่วยสะสมราว 7,300 คน เสียชีวิต 114 คน.-สำนักข่าวไทย

ซาโนฟี-จีเอสเคชะลอโครงการพัฒนาวัคซีนโควิด

ปารีส 11 ธ.ค.- ซาโนฟีของฝรั่งเศสและเกล็กโซสมิธไคลน์หรือจีเอสเคของอังกฤษประกาศชะลอโครงการทดลองวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 หลังจากผลการทดลองทางคลินิกพบว่ากระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ไม่เพียงพอ ซาโนฟีและจีเอสเคแถลงร่วมกันว่า ผลการทดลองที่ระงับไปนั้น กระตุ้นภูมิคุ้มกันในอาสาสมัครวัย 18-49 ปี ได้เทียบเท่ากับผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่หายป่วยแล้ว แต่กระตุ้นภูมิคุ้มกันได้น้อยในผู้สูงวัย คาดว่าเป็นเพราะแอนติเจนที่ใช้กระตุ้นให้ร่างกายสร้างแอนติบอดีหรือสารภูมิคุ้มกันมีความเข้มข้นไม่เพียงพอ จึงตัดสินใจระงับการทดลองระยะสามที่มีกำหนดเริ่มขึ้นในเดือนนี้ แล้วจะเริ่มการศึกษาใหม่ในเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้าแทน โดยจะเปรียบเทียบผลกับวัคซีนที่ได้รับอนุมัติให้ใช้งานด้วย หากข้อมูลออกมาน่าพอใจ จะเริ่มการทดลองระยะสามทั่วโลกในไตรมาสสองของปีหน้า หากผลการทดลองได้ผลดีจะยื่นขออนุมัติในครึ่งหลังของปี และน่าจะได้ใช้ในไตรมาสสี่ของปี จากเดิมที่ตั้งเป้าว่าจะใช้ได้ในช่วงกลางปีหน้า ทั้งสองบริษัทได้แจ้งให้รัฐบาลประเทศต่าง ๆ และคณะกรรมาธิการยุโรปที่ทำสัญญาสั่งซื้อทราบเรื่องชะลอการพัฒนาวัคซีนแล้ว รอยเตอร์เสริมว่า ซาโนฟีและจีเอสเคได้เพิ่มกำลังผลิต หวังว่าจะพร้อมผลิตวัคซีนเป็น 1,000 ล้านโดสในปีหน้า ทันทีที่ได้รับอนุมัติ และได้รับคำสั่งซื้อจากหลายประเทศในสหภาพยุโรปหรืออียู สหรัฐ แคนาดา และอังกฤษ.-สำนักข่าวไทย

ไทม์ยก “ไบเดน”-“แฮร์ริส” เป็นบุคคลแห่งปี 2563

นิวยอร์ก 11 ธ.ค. – นิตยสารไทม์ยกตำแหน่งบุคคลแห่งปี 2563 ให้แก่นายโจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ และนางคามาลา แฮร์ริส ว่าที่รองประธานาธิบดีสหรัฐ ขณะที่วงบีทีเอส บอยแบนด์ชื่อดังของเกาหลีใต้ได้รับตำแหน่งศิลปินแห่งปี นายเอ็ดเวิร์ด เฟลเซนธัล ซีอีโอและบรรณาธิการบริหารของนิตยสารไทม์ระบุในถ้อยแถลงว่า นิตยสารไทม์ยกตำแหน่งบุคคลแห่งปี 2563 ให้แก่นายไบเดนและนางแฮร์ริสในฐานะที่ทั้งคู่เป็นผู้เปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์สหรัฐ เป็นผู้ที่พิสูจน์ว่าความเข้าอกเข้าใจมีพลังยิ่งใหญ่เหนือความโกรธแค้นแห่งการแบ่งแยก และเป็นผู้แบ่งปันวิสัยทัศน์เรื่องการเยียวยาโลกที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด นิตยสารไทม์ยังได้ประกาศยกย่องตำแหน่งบุคคลแห่งปีในสาขาอื่น ๆ ที่น่าสนใจ ได้แก่ นายอีริค หยวน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารหรือซีอีโอของแอปพลิเคชั่นซูมได้รับตำแหน่งนักธุรกิจแห่งปี กลุ่มเจ้าหน้าที่สาธารณสุขแนวหน้าและ นพ. แอนโทนี เฟาชี ที่ปรึกษาด้านโรคโควิด-19 ของรัฐบาลสหรัฐได้รับตำแหน่งผู้พิทักษ์แห่งปี นายเลอบรอน เจมส์ นักบาสเกตบอลเอ็นบีเอได้รับตำแหน่งนักกีฬาแห่งปี และวงบีทีเอส ของเกาหลีใต้ได้รับตำแหน่งศิลปินแห่งปี. -สำนักข่าวไทย

ญี่ปุ่นแนะประชาชนอยู่เงียบ ๆ ช่วงสิ้นปี

โตเกียว 11 ธ.ค. – ทางการญี่ปุ่นแนะนำให้ประชาชนใช้ชีวิตอย่างเงียบ ๆ ในช่วงสิ้นปีหลังพบยอดผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 รายวันสูงสุด นายคัตสึโนบุ คาโตะ เลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นกล่าวในงานแถลงข่าวว่า ชาวญี่ปุ่นควรให้ความร่วมมือกับรัฐบาลในการควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19 ด้วยการใช้ชีวิตอย่างเงียบ ๆ ในช่วงสิ้นปีและปีใหม่ เขายังกล่าวถึงโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ (Go To Travel) ของรัฐบาลว่า รายงานข่าวของสื่อญี่ปุ่นเรื่องระงับโครงการไม่เป็นความจริง เพราะทางการจะยังคงดำเนินโครงการให้เป็นไปในทิศทางที่เหมาะสม เพื่อป้องกันการระบาดของโรคโควิด-19 ทางการญี่ปุ่นรายงานวานนี้ว่า มียอดผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่ 2,848 คน ซึ่งเป็นตัวเลขผู้ป่วยรายวันสูงสุดนับตั้งแต่เกิดการระบาดในญี่ปุ่น ก่อนหน้านี้ สื่อญี่ปุ่นรายงานว่า รัฐบาลญี่ปุ่นเตรียมระงับโครงการส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศเป็นเวลา 2 เดือนในช่วงสิ้นปีจนถึงปีใหม่ เนื่องจากชาวญี่ปุ่นเห็นด้วยกับการระงับโครงการนี้ อย่างไรก็ดี ทางการญี่ปุ่นมองว่าเงินอุดหนุนท่องเที่ยวมีความจำเป็นต่อภาคธุรกิจโรงแรมและสายการบิน อีกทั้งยังช่วยฟื้นฟูสภาพเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคโควิด-19 รัฐบาลญี่ปุ่นเพิ่งประกาศใช้แผนกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 708,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (21.25 ล้านล้านบาท) ในสัปดาห์นี้ และระบุในวันนี้ว่า จะอนุมัติงบประมาณสำรองใช้จ่ายฉุกเฉิน 3,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (111,000 ล้านบาท) เพื่อสนับสนุนโครงการท่องเที่ยวในประเทศ ซึ่งคาดว่าจะสิ้นสุดโครงการในเดือนมิถุนายนปีหน้า. -สำนักข่าวไทย

โควิดทำโลกปล่อยคาร์บอนต่ำสุดหลังสงครามโลกครั้งที่สอง

ลอนดอน 11 ธ.ค.- คณะนักวิจัยเผยว่า การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ทำให้ปีนี้โลกปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ที่เป็นก๊าซเรือนกระจกลดลงมากที่สุดนับจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง โกลบอลคาร์บอนโปรเจกต์หรือจีซีพี (GCP) ซึ่งเป็นองค์กรที่ตั้งขึ้นในปี 2544 เพื่อวัดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกและค้นหาสาเหตุเผยผลการศึกษาว่า ปีนี้โลกปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ลดลงร้อยละ 7 หรือลดลงถึง 2,400 ล้านตัน มากกว่าช่วงวิกฤตการเงินโลกปี 2552 ที่ปล่อยลดลงเพียง 500 ล้านตัน และมากกว่าช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองที่ปล่อยลดลงไม่ถึง 1,000 ล้านตัน ยุโรปและสหรัฐปล่อยลดลงเฉลี่ยร้อยละ 12 ฝรั่งเศสและสหราชอาณาจักรปล่อยลดลงถึงร้อยละ 15 และ 13 ตามลำดับเพราะมีการปิดเมืองสองระลอกที่รุนแรงกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค ส่วนใหญ่ลดลงจากภาคการขนส่ง ขณะที่ภาคการบินทั่วโลกซึ่งได้รับผลกระทบหนักมากจากโรคโควิด-19 คาดว่าปีนี้จะปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ไม่ถึงร้อยละ 40 ของปีก่อน อย่างไรก็ดี มีประเทศหนึ่งที่แนวโน้มการปล่อยจะกลับมานั่นคือจีน ผลการศึกษาคาดว่า ปีนี้จีนจะปล่อยลดลงร้อยละ 1.7 โดยลดลงมากที่สุดในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม แต่พบว่าแนวโน้มช่วงปลายปีกลับมาใกล้กับระดับการปล่อยเมื่อปีก่อน และอาจทำให้ปีนี้ทั้งปีจีนปล่อยเท่ากับปีก่อนทั้งที่มีการระบาด แวดวงนักวิทยาศาสตร์เตือนว่า การจะทำให้ได้ตามเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามข้อตกลงสภาพภูมิอากาศปารีสปี 2558 โลกจะต้องลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ให้ได้ปีละ 2,000 ล้านตันทุกปีตลอดช่วงทศวรรษหน้า.-สำนักข่าวไทย

1 548 549 550 551 552 587