จรวดตกใกล้ทำเนียบ ปธน. อัฟกานิสถาน

เกิดเหตุยิงจรวดโจมตีกรุงคาบูลของอัฟกานิสถานในพื้นที่ใกล้ทำเนียบประธานาธิบดีในระหว่างที่ผู้คนกำลังสวดมนต์เนื่องในการฉลองเทศกาลอีดิลอัฎฮาของชาวมุสลิม แต่ประธานาธิบดีอัชราฟ กานี ของอัฟกานิสถาน และผู้คนอีกจำนวนมากยังคงทำพิธีสวดมนต์ต่อไปในสถานที่กลางแจ้ง

“เจฟฟ์ เบโซส” เตรียมออกเดินทางสู่อวกาศวันนี้

เจฟฟ์ เบโซส มหาเศรษฐีชาวอเมริกันที่รวยที่สุดในโลก เตรียมออกเดินทางสู่อวกาศด้วยจรวดนิว เชพเพิร์ดของบลู ออริจิน บริษัทพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศที่เขาก่อตั้งขึ้น ในวันนี้ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งถือเป็นการก้าวสู่ยุคใหม่ของการเดินทางแบบส่วนตัวในอวกาศ

สิงคโปร์ตั้งข้อหาฆาตกรรมกับนักเรียนใช้ขวานฆ่ารุ่นน้อง

สิงคโปร์ 20 ก.ค. – ศาลสิงคโปร์ตั้งข้อหาเพื่อดำเนินคดีฆาตกรรรมกับนักเรียนชาวสิงคโปร์วัย 16 ปีของโรงเรียนริเวอร์ วัลเลย์ ไฮสคูลเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา หลังจากที่เขาก่อเหตุใช้ขวานฆ่าเพื่อนร่วมโรงเรียนวัย 13 ปีเมื่อวานนี้ เว็บไซต์หนังสือพิมพ์ เดอะ สเตรตส์ ไทมส์ของสิงคโปร์รายงานวันนี้ว่า นักเรียนชาวสิงคโปร์คนดังกล่าวได้ขึ้นศาลผ่านระบบวิดีโอเพื่อเผชิญกับความผิด 1 กระทงฐานก่อเหตุฆาตกรรมเพื่อนร่วมโรงเรียนวัย 13 ปีในห้องน้ำชั้นสี่ของโรงเรียนในช่วงเวลาประมาณ 11.16-11.44 น. เมื่อวานนี้ตามเวลาท้องถิ่น เขาสวมเสื้อโปโลสีแดง สวมหน้ากากอนามัย ผมเผ้ายุ่งเหยิง และชำเลืองตาไปรอบห้องในขณะที่ศาลอ่านข้อกล่าวหา โดยที่มีทนายความเป็นตัวแทนและไม่มีผู้ปกครองเข้าร่วมในชั้นศาล ทนายความของนักเรียนคนดังกล่าวได้ขอให้ศาลส่งตัวเขาไปที่ศูนย์การแพทย์ชางงี (CMC) เพื่อเข้ารับการประเมินทางจิตเวชในระหว่างรอการพิจารณาคดี ขณะที่อัยการกล่าวต่อศาลว่า ผลการสืบสวนในขั้นต้นพบว่า นักเรียนวัย 16 ปีเคยเข้ารับการประเมินอาการที่สถาบันสุขภาพจิต (IMH) ในปี 2562 หลังจากที่เขาพยายามฆ่าตัวตาย ทั้งยังระบุเพิ่มเติมโดยอ้างผลการประเมินของสถาบันสุขภาพจิตว่า เขาถูกควบคุมตัวเพื่อความปลอดภัยแต่ได้รับการปล่อยตัวในเวลาต่อมา จึงเห็นว่าเขาสมควรได้รับการประเมินทางจิตเวช ด้านทนายความของนักเรียนคนดังกล่าวยืนยันว่า ผู้ปกครองของเด็กได้แจ้งเกี่ยวกับอาการดังกล่าวให้เขาทราบเช่นกัน ทั้งนี้ นักเรียนคนดังกล่าวจะถูกส่งตัวไปยังศูนย์การแพทย์ชางงีเพื่อประเมินอาการทางจิตเวช และมีนัดขึ้นศาลครั้งต่อไปในวันที่ 10 สิงหาคม ก่อนหน้านี้ ตำรวจสิงคโปร์ระบุในแถลงการณ์เมื่อวานนี้ว่า ได้จับกุมนักเรียนชายวัย 16 […]

เผยผู้นำอังกฤษเมินล็อกดาวน์เพราะมีแต่ผู้สูงวัยที่จะตาย

ลอนดอน 20 ก.ค. – อดีตที่ปรึกษาระดับสูงของนายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน ของอังกฤษ ระบุว่า ผู้นำอังกฤษไม่ได้เตรียมใช้มาตรการล็อกดาวน์สกัดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 เพื่อรักษาชีวิตผู้สูงอายุเมื่อปีก่อน และไม่ยอมรับว่าระบบบริการสุขภาพแห่งชาติของอังกฤษ หรือเอ็นเอชเอส รองรับผู้ป่วยติดเชื้อไม่ไหว นายโดมินิก คัมมิงส์ อดีตที่ปรึกษาด้านการเมืองของนายกรัฐมนตรีจอห์นสันให้สัมภาษณ์ผ่านโทรทัศน์เป็นครั้งแรกหลังลาออกจากตำแหน่งเมื่อปีก่อนว่า ผู้นำอังกฤษไม่ต้องการใช้มาตรการล็อกดาวน์ครั้งที่สองในช่วงฤดูใบไม้ร่วงของปีก่อน เพราะเชื่อว่าชาวอังกฤษที่จะเสียชีวิตจากโรคโควิดส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีอายุ 80 ปีขึ้นไป ทั้งยังระบุเพิ่มเติมว่า นายกรัฐมนตรีจอห์นสันต้องการเข้าเฝ้าสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 พระชนมพรรษา 95 พรรษา แม้มีสัญญาณการระบาดของเชื้อโควิดที่สำนักนายกรัฐมนตรีในช่วงเริ่มต้นของการระบาด และทางการก็ได้แจ้งให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการพบปะที่ไม่จำเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพบปะกับผู้สูงวัย นายคัมมิงส์ ซึ่งกล่าวหารัฐบาลอังกฤษว่าเป็นผู้ที่ต้องรับผิดชอบต่อผู้เสียชีวิตจากโรคโควิดจำนวนมากทั้งที่ไม่ควรเกิดขึ้น ยังได้เผยแพร่ข้อความต่าง ๆ ตั้งแต่เดือนตุลาคมปีก่อนที่อ้างว่าเป็นข้อความที่นายกรัฐมนตรีจอห์นสันส่งถึงผู้ช่วย ไม่ว่าจะเป็นข้อความกล่าวติดตลกของผู้นำอังกฤษที่ระบุว่า ผู้สูงวัยอาจติดโควิดและมีอายุยืนยาวได้ เพราะผู้สูงวัยส่วนใหญ่ที่เสียชีวิตมีอายุเกินอายุขัยเฉลี่ย รวมถึงข้อความของนายกรัฐมนตรีจอห์นสันที่ส่งถึงนายคัมมิงส์ว่า เขาไม่เชื่อเรื่องระบบเอ็นเอชเอสรองรับผู้ป่วยติดเชื้อไม่ไหว และคิดว่าทุกคนควรเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ อย่างไรก็ดี สำนักข่าวรอยเตอร์สไม่สามารถตรวจสอบได้อย่างอิสระว่าข้อความเหล่านั้นเป็นข้อความที่ผู้นำอังกฤษส่งมาจริงหรือไม่ ในขณะเดียวกัน โฆษกของนายกรัฐมนตรีจอห์นสันกล่าวว่า ผู้นำอังกฤษได้ใช้มาตรการที่จำเป็นเพื่อปกป้องชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชน ซึ่งเป็นไปตามคำแนะนำทางวิทยาศาสตร์ที่ดีที่สุด ขณะที่พรรคแรงงาน ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านของอังกฤษ ระบุว่า การเปิดเผยเรื่องดังกล่าวของนายคัมมิงส์ทำให้เห็นถึงความจำเป็นของการเปิดไต่สวนสาธารณะ และถือเป็นหลักฐานที่ชี้ว่านายกรัฐมนตรีจอห์นสันตัดสินใจผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนทำให้เกิดความเสียหายต่อสุขภาพของประชาชน ขณะนี้ อังกฤษมียอดผู้ป่วยติดเชื้อสะสมกว่า […]

เมียนมาตั้งเป้าฉีดวัคซีนมากขึ้นหลังยอดป่วยโควิดพุ่ง

กระทรวงสาธารณสุขเมียนมาภายใต้การควบคุมของรัฐบาลทหารเมียนมาคาดว่า ชาวเมียนมาราวครึ่งหนึ่งจากทั้งหมด 54 ล้านคนจะได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ภายในปีนี้ หลังจากที่เมื่อวานนี้เมียนมาพบผู้เสียชีวิตจากโรคโควิดสูงเป็นประวัติการณ์

เวียดนามบรรลุดีลขอถ่ายโอนเทคโนโลยีวัคซีนรัสเซีย-สหรัฐ

เวียดนามบรรลุข้อตกลงขอถ่ายโอนเทคโนโลยีผลิตวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ของรัสเซียและสหรัฐ

ออสเตรเลียขยายล็อกดาวน์นครเมลเบิร์นอีก 7 วัน

รัฐวิกตอเรียของออสเตรเลียจะใช้มาตรการล็อกดาวน์ในนครเมลเบิร์นต่ออีก 7 วัน ขณะที่รัฐเซาท์ออสเตรเลียประกาศล็อกดาวน์เป็นเวลา 7 วันหลังพบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 สายพันธุ์เดลตา

ผู้นำเกาหลีใต้ยกเลิกแผนเดินทางเยือนญี่ปุ่น

โซล/โตเกียว 19 ก.ค. – ประธานาธิบดีมุน แจอิน ของเกาหลีใต้ เปลี่ยนใจไม่เดินทางเยือนญี่ปุ่นก่อนเปิดฉากการแข่งขันโตเกียวโอลิมปิก ทำให้แผนพบกันครั้งแรกกับนายกรัฐมนตรีโยชิฮิเดะ ซูงะ ของญี่ปุ่นต้องยกเลิกไป หลังสื่อญี่ปุ่นรายงานเมื่อช่วงเช้าว่า ผู้นำของทั้งสองประเทศจะพบกันในการประชุมสุดยอดแบบตัวต่อตัว โฆษกทำเนียบประธานาธิบดีเกาหลีใต้ระบุว่า ประธานาธิบดีมุนตัดสินใจที่จะไม่เดินทางเยือนญี่ปุ่น โตเกียวโอลิมปิกเป็นมหกรรมกีฬาแห่งสันติภาพของผู้คนจากทั่วโลก เกาหลีใต้หวังว่า ญี่ปุ่นจะเป็นเจ้าภาพจัดงานดังกล่าวได้อย่างปลอดภัยและประสบความสำเร็จ ขณะที่นายกรัฐมนตรีซูงะเผยว่า เขาไม่ได้อยู่ในจุดที่จะให้ความเห็นเกี่ยวกับการเปลี่ยนใจไม่เดินทางเยือนญี่ปุ่นของผู้นำเกาหลีใต้ ประกาศของทำเนียบประธานาธิบดีเกาหลีใต้มีขึ้นหลังจากรัฐบาลเกาหลีใต้ยื่นประท้วงการนำเสนอข่าวเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว โดยอ้างคำพูดนักการทูตระดับสูงในสถานทูตญี่ปุ่นประจำกรุงโซลที่ระบุว่า ประธานาธิบดีมุนหมดหนทางกอบกู้ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ โดยเขากล่าวในเชิงเสียดสีว่า ความพยายามของนายมุนในการปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศเป็นเสมือนการ “การช่วยตัวเอง” ทั้งนี้ ความขัดแย้งครั้งล่าสุดได้จุดประกายความสัมพันธ์อันคุกรุ่นระหว่างเกาหลีใต้กับญี่ปุ่นที่มีปัญหาเกี่ยวกับการอ้างสิทธิเหนือดินแดนและประวัติศาสตร์ในช่วงสงครามจนทำลายความหวังที่คาดกันว่าโตเกียวโอลิมปิกอาจเป็นจุดเริ่มต้นครั้งใหม่ของความร่วมมือระดับทวิภาคีและภูมิภาคของทั้งสองประเทศ ก่อนหน้านี้ หนังสือพิมพ์โยมิอูริของญี่ปุ่นรายงานเมื่อช่วงเช้าวันนี้ว่า ประธานาธิบดีมุนและนายกรัฐมนตรีซูงะจะพบปะกันเป็นครั้งแรกที่กรุงโตเกียวในวันศุกร์ก่อนเปิดฉากการแข่งขันโตเกียวโอลิมปิก เพื่อหารือในประเด็นที่สร้างความตึงเครียดให้ทั้งสองฝ่ายมาเป็นเวลานาน เช่น การจ่ายเงินชดเชยให้ชาวเกาหลีใต้ที่ถูกบังคับใช้แรงงานในบริษัทญี่ปุ่นและการบังคับให้สตรีเกาหลีใต้เป็นนางบำเรอในช่วงที่ญี่ปุ่นยึดครองเกาหลีใต้ในปี 2453-2488 รวมถึงการที่ญี่ปุ่นวางแผนเปลี่ยนตัวนักการทูตระดับสูงประจำกรุงโซลหลังมีรายงานข่าวที่เขาพูดถึงประธานาธิบดีมุนที่ไม่เหมาะสม.-สำนักข่าวไทย

ไฟป่าในสหรัฐยังลุกลามหนักเพราะอากาศแปรปรวน

ออริกอน 19 ก.ค. – เจ้าหน้าที่ดับเพลิงของสหรัฐ ต้องเผชิญกับอันตรายที่เพิ่มขึ้นจากกระแสลมแปรปรวนและสภาพป่าที่แห้งแล้งในรัฐออริกอน เมื่อวานนี้ ตามเวลาท้องถิ่น ในขณะที่พวกเขาพยายามควบคุมไฟป่าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐในกลุ่มไฟป่าที่กำลังลุกลามในหลายพื้นที่รัฐทางตะวันตกของสหรัฐ ไฟป่าบูตเลก (Bootleg Fire) ที่ทวีความรุนแรงขึ้น กลายเป็นหนึ่งในไฟป่าครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของรัฐออริกอน และกำลังเผาผลาญพื้นที่กว่า 1,210 ตารางกิโลเมตร ซึ่งกินพื้นที่ขนาดใกล้เคียงกับขนาดของนครลอสแอนเจลิสในรัฐแคลิฟอร์เนีย ไฟป่าดังกล่าวเกิดขึ้นในพื้นที่ทางเหนือของชายแดนรัฐแคลิฟอร์เนีย และควบคุมเพลิงไหม้ได้เพียงร้อยละ 25 เท่านั้น ขณะที่นักอุตุนิยมวิทยาหลายรายคาดการณ์ว่า สภาพอากาศที่เอื้อให้เกิดไฟป่ารุนแรงจะยังคงเกิดขึ้นในพื้นที่ดังกล่าวไปจนถึงวันนี้ ตามเวลาท้องถิ่น และอาจเกิดฟ้าผ่าในรัฐแคลิฟอร์เนียและพื้นที่ทางใต้ของรัฐออริกอน ด้านสำนักงานอุตุนิยมวิทยาสหรัฐ ในนครแซคราเมนโตของรัฐแคลิฟอร์เนีย ระบุผ่านทวิตเตอร์ว่า สภาพอากาศที่แห้งแล้งและฟ้าผ่า ทำให้มีโอกาสเกิดไฟป่าครั้งใหม่ได้ ในขณะเดียวกัน ทางการท้องถิ่นได้สั่งให้ประชาชนจำนวนมากอพยพออกจากพื้นที่ไปอยู่ในสถานที่ปลอดภัย ซึ่งรวมถึงประชาชนราว 2,000 คน ที่อาศัยอยู่ในย่านชนบทริมทะเลสาบ และเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าที่อยู่ใกล้ไฟป่าบูตเลกที่เผาผลาญบ้านเรือน 67 หลัง และสิ่งปลูกสร้าง 100 หลัง สภาพอากาศที่แห้งแล้งและคลื่นความร้อนรุนแรงที่เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้เกิดไฟป่าที่ยากต่อการควบคุม ทั้งนี้ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้ภูมิภาคตะวันตกของสหรัฐมีอุณหภูมิสูงขึ้นและแห้งแล้งมากขึ้นในรอบ 30 ปี และจะทำให้สภาพอากาศเลวร้าย เกิดไฟป่าบ่อยขึ้น และสร้างความเสียหายมากขึ้นเช่นกัน.-สำนักข่าวไทย

ไต้หวันอนุมัติใช้วัคซีนโควิดพัฒนาขึ้นเอง

ไทเป 19 ก.ค. – รัฐบาลไต้หวันประกาศอนุมัติใช้และผลิตวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ที่พัฒนาโดยเมดิเจน วัคซีน โบโอโลจิกส์ คอร์ป บริษัทเวชภัณฑ์ของไต้หวัน ซึ่งถือเป็นย่างก้าวสำคัญของไต้หวันในการพัฒนาวัคซีนโควิดใช้เองในประเทศ กระทรวงสาธารณสุขไต้หวันระบุว่า ผลการทดลองทางคลินิกในไต้หวันชี้ว่า วัคซีนที่พัฒนาโดยเมดิเจนสามารถสร้างโปรตีนที่เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันมนุษย์ หรือแอนติบอดี ได้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าวัคซีนของแอสตราเซเนกา และไม่พบปัญหาด้านความปลอดภัยที่สำคัญ ทั้งยังระบุเพิ่มเติมว่า เมดิเจนต้องส่งรายงานประจำเดือนเกี่ยวกับความปลอดภัยของวัคซีน MVC-COV1901 ที่พัฒนาขึ้นเพื่อฉีดให้แก่ประชาชนอายุ 20 ปีขึ้นไป โดยจะเว้นช่วงระหว่างเข็มแรกกับเข็มที่สองเป็นเวลา 28 วัน ขณะที่นายเฉิน สือ-จง รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขไต้หวัน กล่าวว่า เมดิเจนจะต้องใช้เวลาอีกสักพักเพื่อเร่งกระบวนการผลิตวัคซีนดังกล่าวหลังผ่านการอนุมัติใช้เป็นกรณีฉุกเฉินในไต้หวัน และคาดว่าน่าจะผลิตวัคซีนได้จำนวนหนึ่งในเดือนสิงหาคม  ทั้งนี้ วัคซีนของเมดิเจนเป็นวัคซีนที่ผลิตจากการตัดต่อโปรตีนจากสารพันธุกรรมของไวรัส และได้รับการพัฒนาร่วมกับสถาบันสุขภาพแห่งชาติของสหรัฐ (NIH) ก่อนหน้านี้ รัฐบาลไต้หวันได้ลงนามในข้อตกลงซื้อวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 จากเมดิเจนและยูบีไอ ฟาร์มา บริษัทผู้พัฒนาวัคซีนในประเทศอีกรายหนึ่งของไต้หวันขนานละ 5 ล้านโดสในเดือนพฤษภาคม และต่อมาก็ทำสัญญาซื้อเพิ่มอีกขนานละ 5 ล้านโดส ทำให้ไต้หวันมียอดสั่งซื้อวัคซีนจากสองบริษัทดังกล่าวทั้งสิ้น 20 ล้านโดส อย่างไรก็ดี วัคซีนที่พัฒนาโดยยูบีไอกำลังอยู่ในขั้นตอนพิจารณาอนุมัติใช้เป็นกรณีฉุกเฉิน ขณะนี้ ไต้หวันกำลังเร่งการฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนตั้งแต่ในเดือนที่แล้ว […]

ผู้นำอังกฤษขอประชาชนระวังตัวแม้ยกเลิกล็อกดาวน์วันนี้

นายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน ของอังกฤษ ยกเลิกมาตรการล็อกดาวน์ที่ใช้มาเป็นเวลากว่าปีในอังกฤษตั้งแต่วันนี้ และขอให้ประชาชนระมัดระวังตัวต่อไป พร้อมทั้งแสดงความเชื่อมั่นว่า วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ช่วยปกป้องประเทศได้ แม้ยังคงพบยอดผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่พุ่งสูงขึ้น

เกาหลีใต้พบทหารติดเชื้อโควิดบนเรือรบ 247 นาย

กองทัพเกาหลีใต้พบคลัสเตอร์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ขนาดใหญ่ที่สุด หลังพบเจ้าหน้าที่ทหารบนเรือรบลาดตระเวนปราบปรามโจรสลัดในอ่าวเอเดนติดเชื้อโควิด 247 นาย หรือคิดเป็นอัตรากว่าร้อยละ 80 จากทหารทั้งหมดที่ประจำการในเรือ 301 นาย

1 218 219 220 221 222 315