ลอนดอน 20 ก.ค. – อดีตที่ปรึกษาระดับสูงของนายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน ของอังกฤษ ระบุว่า ผู้นำอังกฤษไม่ได้เตรียมใช้มาตรการล็อกดาวน์สกัดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 เพื่อรักษาชีวิตผู้สูงอายุเมื่อปีก่อน และไม่ยอมรับว่าระบบบริการสุขภาพแห่งชาติของอังกฤษ หรือเอ็นเอชเอส รองรับผู้ป่วยติดเชื้อไม่ไหว
นายโดมินิก คัมมิงส์ อดีตที่ปรึกษาด้านการเมืองของนายกรัฐมนตรีจอห์นสันให้สัมภาษณ์ผ่านโทรทัศน์เป็นครั้งแรกหลังลาออกจากตำแหน่งเมื่อปีก่อนว่า ผู้นำอังกฤษไม่ต้องการใช้มาตรการล็อกดาวน์ครั้งที่สองในช่วงฤดูใบไม้ร่วงของปีก่อน เพราะเชื่อว่าชาวอังกฤษที่จะเสียชีวิตจากโรคโควิดส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีอายุ 80 ปีขึ้นไป ทั้งยังระบุเพิ่มเติมว่า นายกรัฐมนตรีจอห์นสันต้องการเข้าเฝ้าสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 พระชนมพรรษา 95 พรรษา แม้มีสัญญาณการระบาดของเชื้อโควิดที่สำนักนายกรัฐมนตรีในช่วงเริ่มต้นของการระบาด และทางการก็ได้แจ้งให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการพบปะที่ไม่จำเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพบปะกับผู้สูงวัย
นายคัมมิงส์ ซึ่งกล่าวหารัฐบาลอังกฤษว่าเป็นผู้ที่ต้องรับผิดชอบต่อผู้เสียชีวิตจากโรคโควิดจำนวนมากทั้งที่ไม่ควรเกิดขึ้น ยังได้เผยแพร่ข้อความต่าง ๆ ตั้งแต่เดือนตุลาคมปีก่อนที่อ้างว่าเป็นข้อความที่นายกรัฐมนตรีจอห์นสันส่งถึงผู้ช่วย ไม่ว่าจะเป็นข้อความกล่าวติดตลกของผู้นำอังกฤษที่ระบุว่า ผู้สูงวัยอาจติดโควิดและมีอายุยืนยาวได้ เพราะผู้สูงวัยส่วนใหญ่ที่เสียชีวิตมีอายุเกินอายุขัยเฉลี่ย รวมถึงข้อความของนายกรัฐมนตรีจอห์นสันที่ส่งถึงนายคัมมิงส์ว่า เขาไม่เชื่อเรื่องระบบเอ็นเอชเอสรองรับผู้ป่วยติดเชื้อไม่ไหว และคิดว่าทุกคนควรเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ อย่างไรก็ดี สำนักข่าวรอยเตอร์สไม่สามารถตรวจสอบได้อย่างอิสระว่าข้อความเหล่านั้นเป็นข้อความที่ผู้นำอังกฤษส่งมาจริงหรือไม่
ในขณะเดียวกัน โฆษกของนายกรัฐมนตรีจอห์นสันกล่าวว่า ผู้นำอังกฤษได้ใช้มาตรการที่จำเป็นเพื่อปกป้องชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชน ซึ่งเป็นไปตามคำแนะนำทางวิทยาศาสตร์ที่ดีที่สุด ขณะที่พรรคแรงงาน ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านของอังกฤษ ระบุว่า การเปิดเผยเรื่องดังกล่าวของนายคัมมิงส์ทำให้เห็นถึงความจำเป็นของการเปิดไต่สวนสาธารณะ และถือเป็นหลักฐานที่ชี้ว่านายกรัฐมนตรีจอห์นสันตัดสินใจผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนทำให้เกิดความเสียหายต่อสุขภาพของประชาชน ขณะนี้ อังกฤษมียอดผู้ป่วยติดเชื้อสะสมกว่า 5.47 ล้านคน และผู้เสียชีวิตกว่า 128,700 คน.-สำนักข่าวไทย