ผู้จัดมหกรรมยานยนต์ฯคาดปีนี้ยอดขายรถยนต์ทะลุ 800,000 คัน

กรุงเทพฯ 9 พ.ย.- ผู้จัดงานมหกรรมยานยนต์ คาดการณ์ตลาดรถยนต์ในปีนี้ยังเพิ่มขึ้นร้อยละ 2-3 ยอดขายน่าจะทำได้ถึง  800,000 คัน ส่วนปีหน้า คาดว่าจะเติบโตต่อเนื่อง มียอดขาย 830,000-850,000 คัน


นายขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ ประธานจัดงาน “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 33″ คาดการณ์ตลาดรถยนต์ในประเทศปีนี้ว่า ยังเป็นบวก คาดว่า ยอดขายจะขยายตัวประมาณร้อยละ 2-3 ด้วยยอดขายรวม 800,000 คัน เป็นรถกระบะร้อยละ 65 รถยนต์นั่งร้อยละ 35 ขณะที่ช่วง 9 เดือนแรกปีนี้ ยอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 ปัจจัยสนับสนุนคือ การสิ้นสุดโครงการรถยนต์คันแรกที่ไม่สามารถซื้อขายเปลี่ยนมือได้กว่า 1 ล้านคันในช่วง 5 ปี ทยอยครบกำหนดมาตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมา ซึ่งสถาบันการเงินคาดว่า จะมีผู้เป็นเจ้าของรถยนต์คันแรกมาแล้ว คิดเป็นประมาณร้อยละ 7.8-10  จะเปลี่ยนมาซื้อรถคันใหม่ ในช่วง 4 เดือนที่เหลือปีนี้ เดือนละ 8,000 คันหรือคิดเป็นยอดที่จะทยอยซื้อรถใหม่อีกประมาณ 30,000 คัน ขณะที่รัฐบาลกระตุ้นให้ภาคธุรกิจกลับคืนสู่สภาพปกติในเร็ววัน

ส่วนยอดขายปีหน้า นายขวัญชัยคาดว่า  จะมียอดประมาณ 830,000-850,000 คัน เติบโตร้อยละ 5-7 ถือเป็นอัตราการเติบโตระดับปกติของตลาดรถยนต์ในประเทศที่กลับไปเท่ากับในช่วงก่อนมีโครงการรถยนต์คันแรก


สำหรับงาน”มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 33″ ยังคงจัดงานตามกำหนดเดิม ตั้งแต่วันที่ 1-12 ธันวาคม 2559 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 1-3 IMPACT เมืองทองธานี โดยตั้งเป้าหมายยอดจองซื้อรถภายในงานไว้ที่ 50,000 คัน ซึ่งอาจทำได้จริงที่ประมาณ 45,000-47,000 คัน แบ่งเป็นรถยนต์นั่งร้อยละ 65 ที่เหลือร้อยละ 35 ของยอดจองซื้อภายในงานเป็นรถกระบะ ราคาเฉลี่ยต่อคันจะอยู่ที่ประมาณ 900,000 บาท ลดลงจากปีที่ผ่านมาที่ราคาขายเฉลี่ยต่อคันอยู่ที่ประมาณ 1.1 ล้านบาท เนื่องจากจะมีการซื้อรถยนต์ขนาดเล็กเพิ่มขึ้นราคาต่อหน่วยจึงลดลง ซึ่งเป็นผลจากการทยอยสิ้นสุดโครงการรถยนต์คันแรกที่จะเข้ามาซื้อรถใหม่ ส่วนรถจักรยานยนต์กลุ่มบิ๊กไบค์ คาดว่า จะมียอดขาย 3,000 คัน และจะมีผู้ชมงาน 1.5 ล้านคน เม็ดเงินสะพัดในงานกว่า 50,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ เป้าหมายยอดขายที่ตั้งไว้ในปีนี้ 50,000 คัน เป็นเป้าหมายที่เท่ากับการจัดงานปีที่ผ่านมา ซึ่งปีที่ผ่านมายอดจองซื้อในงานทำได้จริงที่ 43,000 คัน รถจักรยานยนต์ตั้งเป้ายอดจองภายในงาน 3,000 คัน ยอดจองจริงภายในงานทำได้ที่ 5,700 คัน

“การจัดมหกรรมยานยนต์ในครั้งนี้ได้รับความร่วมมือผู้ร่วมออกงานจัดกิจกรรมอย่างเหมาะสมในช่วงที่คนไทยยังเศร้าโศก โดยงดการแสดงแสง สี เสียง และแดนเซอร์ ที่อึกทึกครึกโครม ยกเลิกการจัดกิจกรรมพริททีโหวต รวมถึงให้แต่ละบริษัทที่มีพริทที ส่งรูปแบบเครื่องกายของพริททีให้ผู้จัดงานพิจารณาก่อนเริ่มงาน ภายใต้หลักการของความเรียบร้อยและไม่โชว์หรือเน้นสัดส่วน กระโปรงหรือกางเกงต้องยาวคลุมเข่า และระหว่างงานหากพบการแสดงที่ล่อแหลม ผู้จัดงานจะสั่งระงับทันที เพื่อให้ภาพรวมของงานมีความเหมาะสมกับช่วงเวลาและความรู้สึกของคนไทย สำหรับค่ายรถที่ร่วมงานปีนี้มีจำนวน 36 ยี่ห้อ และรถจักรยานยนต์ 19 ยี่ห้อ” นายขวัญชัย กล่าว-สำนักข่าวไทย


ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

สำนักสงฆ์หูตาทิพย์

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์”

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์” พระอ้างใช้สอนวิปัสสนากรรมฐาน เบื้องต้นอายัดไว้พิสูจน์ดีเอ็นเอ พร้อมเอาผิดหัวหน้าสำนักสงฆ์ ฐานนำศพเก็บไว้ในสถานที่ที่ไม่ใช่สุสานและฌาปนสถาน

“สนธิ” ยื่นถอด “ตั้ม-เดชา” ออกจากทนาย

“สนธิ ลิ้มทองกุล” หอบหลักฐานบุกสภาทนายความ ถอดทนายตั้ม-ทนายเดชา ออกจากทนาย ระบุ ได้รับมอบอำนาจจาก “มาดามอ้อย” แล้ว เดินหน้าเอาผิด ทนายตั้มแบบสุดซอย ไม่ให้มีคนตกเป็นเหยื่อผู้รู้กฎหมายอีก

รัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มยูเครน

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย แถลงยืนยันว่ารัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มภาคตะวันออกยูเครนเมื่อวานนี้ ตอบโต้ที่ยูเครนใช้ขีปนาวุธที่ได้รับมอบจากสหรัฐและอังกฤษ

ข่าวแนะนำ

โค้งสุดท้าย ศึกสองนารีชิงเก้าอี้ นายก อบจ.นครฯ

เหลือไม่ถึง 2 วันแล้ว ที่ชาวนครศรีธรรมราชจะได้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งนายก อบจ.นครฯ ศึกนี้เป็นการสู้กันเองของพรรคร่วมรัฐบาล ฝ่ายหนึ่งต้องการรักษาฐานที่มั่นไว้ให้ได้ อีกฝ่ายต้องการเจาะฐานให้แตก เพื่อหวังครองที่นั่งการเมืองระดับชาติในสมัยหน้า

ร้อนระอุโค้งสุดท้าย ศึกชิงเก้าอี้ นายก อบจ.อุดรธานี

การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ครั้งนี้ดุเดือดเกินคาด ผู้สมัครจาก 2 พรรคใหญ่ลงชิงชัย ต่างเร่งเครื่องเต็มที่ในโค้งสุดท้าย การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 24 พ.ย.นี้ ใครจะเป็นผู้คว้าชัยชนะและสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญให้จังหวัดอุดรธานี ไปติดตามจากรายงาน

ความเห็นนักวิชาการ คดีทักษิณ

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับคำร้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและพรรคเพื่อไทย ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง ขณะที่นักวิชาการชี้ว่าไม่ได้พลิกไปจากความคาดหมาย และผลจากคดีนี้ ไม่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนทางการเมือง แต่ก็ยังมีจุดเสี่ยงที่ต้องระวัง