กรุงเทพฯ 17 มิ.ย.-กกพ.ส่งสัญญาณค่าไฟฟ้า (เอฟที) งวดสุดท้ายปี 65 (ก.ย.-ธ.ค.) ปรับขึ้นเกิน 40 สตางค์ / หน่วย เหตุต้นทุนยังแพง ขณะที่เงินบาทอ่อน พร้อมเร่งใช้หลักเกณฑ์ Energy Pool Price แก้ปัญหาระยะสั้นกดต้นทุนค่าไฟแพง ส่วนระยะยาวต้องเร่งรื้อโครงสร้างบริการพลังงานของประเทศใหม่
นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ในฐานะโฆษก กกพ. กล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “ไขข้อข้องใจ…รับมือค่าไฟครึ่งปีหลัง” จัดขึ้นโดยสมาคมผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจ ร่วมกับสำนักงาน กกพ. โดยระบุว่า แนวโน้มการปรับค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่าเอฟที) งวดสุดท้ายปีนี้ ( ก.ย.-ธ.ค.) มีโอกาสปรับสูงขึ้นจากประมาณการณ์ไว้เดิม ที่คาดว่าจะปรับขึ้นประมาณ 40 สตางค์/ หน่วย เนื่องจากสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) เข้ามาผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นประมาณกว่า 40% จากเดิมคาดว่าจะใช้ LNG ประมาณ 30% หลังต้นทุนราคาน้ำมันดีเซลปรับสูงขึ้น ขณะที่กำลังการผลิตก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทยลดลง ประกอบกับการรับก๊าซฯ จากเมียนมา มีแนวโน้มลดลง อีกทั้งอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทอ่อนค่าลง ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 35 บาทต่อดอลลาร์ฯ จากเดิมประมาณการอยู่ที่ 33 บาทต่อดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม ต้องรอประเมินสถานการณ์ค่าเชื้อเพลิงที่แท้จริงอีกครั้งในช่วงกลางเดือน มิ.ย.นี้ ว่าจะปรับขึ้นค่าเอฟทีเท่าใด โดยต้นทุนที่แท้จริงอยู่ที่ 40 สตางค์ต่อหน่วย แต่หากรวมภาระที่ กฟผ. แบกรับไว้ ที่ปัจจุบันอยู่ที่กว่า 80,000 ล้านบาท จะส่งผลให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าที่แท้จริงปรับขึ้นอีกกว่า 1 บาทต่อหน่วย
ส่วนกรณีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานฯ ส่งสัญญาณอยากให้การปรับขึ้น ค่าเอฟที งวดสุดท้ายของปีนี้ เป็นการปรับขึ้นครั้งเดียวจบนั้น เป็นเรื่องที่ต้องรอติดตามสถานการณ์ราคาเชื้อเพลิง แต่คาดว่า การปรับขึ้นค่าเอฟที ยังจะต้องต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า เนื่องจากต้นทุนราคาเชื้อเพลิงยังผันผวน”
ทั้งนี้ การบริหารจัดการต้นทุนค่าไฟฟ้าในปัจจุบัน ยังเป็นเพียงการแก้ไขปัญหาระยะสั้นเท่านั้น ซึ่งจะทำให้ต้นทุนราคาปรับลดลงเล็กน้อยเท่านั้นเมื่อเทียบกับต้นทุนที่แท้จริง แต่การแก้ไขปัญหาที่ถูกต้องควรต้องมีการบริหารจัดการในระยะยาว เพื่อให้เกิดความชัดเจนด้านโครงสร้างการจัดการพลังงานระยะยาวของประเทศ ได้แก่ โครงการจัดการพลังงานในอนาคต LNG/Domestic Gas และแผนจัดหา เก็บและใช้ก๊าซฯระยะยาวอย่างเป็นธรรม เช่น เรื่อง LNG Terminal และจำนวน Tanks รวมถึงการวางแผนโครงสร้างพื้นฐาน ให้สอดคล้องกับแผนการจัดหาเชื้อเพลิง ตลอดจนมุ่งความสำคัญเรื่องของ Low Carbon แบบชาญฉลาด
สำหรับการบริหารจัดการในระยะสั้นนั้น กกพ. ได้เร่งแก้ไขปัญหาต้นทุนค่าไฟฟ้าแพง โดยบริหารจัดการโรงไฟฟ้าที่ผลิตไฟฟ้าป้อนเข้าระบบ ด้วยการยืดปลดโรงไฟฟ้าแม่เมาะ จากเดิมมีกำหนดในปี 2564 ออกไปเป็น ปี2565 เพื่อลดการนำเข้า LNG ในที่มีราคาแพงเข้ามาผลิตไฟฟ้า รวมถึงการออกประกาศรับซื้อไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชีวมวลเพิ่มเติม และการนำเข้า LNG เข้ามาทดแทนกำลังการผลิตก๊าซฯจากอ่าวไทยที่ลดลง เบื้องต้นประเมินว่า จะมีปริมาณ 8 ล้านตัน และมีแนวโน้มที่จะนำเข้าเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังเร่งก่อสร้างคลังรับ-จ่าย LNG แห่งที่ 2(หนองแฟบ)ให้เสร็จเร็วขึ้น จากเดิมจะเสร็จปลายปีนี้ เพื่อรองรับการนำเข้า LNG
นอกจากนี้ กกพ. ยังเสนอภาครัฐปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้า เพื่อรับมือกรณีเกิดวิกฤติต้นทุนค่าเชื้อเพลิงผัวผวน โดยเสนอเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การคำนวณราคาก๊าซธรรมชาติภายใต้การกำกับของ กกพ. (Energy Pool Price) ที่ต้องการร่วมแก้ไขปัญหาพลังงานที่มีราคาสูงขึ้น ซึ่งจะเป็นการเปิดโอกาสให้ปรับเปลี่ยนการใช้เชื้อเพลิงผลิตเพื่อผลิตไฟฟ้าตามสถานการณ์ต้นทุนในขณะนั้น โดยเลือกใช้เชื้อเพลิงที่มีราคาถูกที่สุดในช่วงเวลาดังกล่าว เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อค่าไฟฟ้าโดยรวมของประเทศ รวมถึงนโยบายเปิดเสรีก๊าซฯ ที่เปิดโอกาสให้มีผู้เล่นรายใหม่เข้ามานำเข้าก๊าซธรรมชาติเพิ่มเติม หรือ เกิดการแข่งขันนำเข้าก๊าซฯ โดยเมื่อปี 2562 กกพ.ได้ออกใบอนุญาติจัดหาและนำเข้าก๊าซฯ(Shipper LNG) ให้กับภาคเอกชนเพิ่มเติมหลายราย จากเดิม ปตท.เป็น Shipper LNG รายเดียวของประเทศ และต่อมาภาครัฐได้มีนโยบายให้ กฟผ.เข้ามาเป็น Shipper LNG รายที่ 2 เพื่อทดสอบระบบโครงข่ายท่อก๊าซฯ ก่อนที่จะมีเอกชนรายอื่นๆ เข้ามายื่นของเป็นผู้รับใบอนุญาต Shipper LNG เพิ่มเติม
“สำหรับสถานการณ์ต้นทุนค่าไฟฟ้าของไทย ที่ปรับสูงขึ้นในปีนี้ เป็นผลมาจากโครงการสร้างการผลิตไฟฟ้าของไทย ที่ยังพึ่งพาการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้า หรือประมาณ 60% ในจำนวนนี้เป้นก๊าซฯ จากอ่าวไทย 65% แหล่งก๊าซในเมียนมา 12 % เมียนมา และการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) อีก 10 % โดยเมื่อปี 2563 อยู่ในช่วงสถานการณ์โควิด ส่งผลการผลิตก๊าซฯ ในอ่าวไทยลดลงระดับหนึ่ง ต่อมาปี 2564 โควิดเริ่มคลี่คลาย ประเทศเริ่มฟื้นตัว ความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น ทำให้ต้องนำเข้า LNG เพิ่มขึ้นถึง 20% จากเดิมเคยนำเข้าราว 18% โดยเป็นการนำเข้าในรูปแบบของสัญญาระยะสั้น (Spot LNG ) มากขึ้น ประกอบกับเป็นช่วงที่สถานการณ์ราคา LNG ตลาดโลกปรับสูงขึ้น หลังความต้องการใช้ก๊าซฯทั่วโลกเพิ่มขึ้น ตามทิศทางเศรษฐกิจโลกที่เริ่มฟื้นตัว ประกอบกับเกิดปัญหาขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน ส่งให้ให้ราคาพลังงานโลกผันผวนและปรับสูงขึ้น นับเป็นส่วนสำคัญที่กระทบต่อต้นทุนค่าไฟฟ้าต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน” นายคมกฤช กล่าว
นายคมกฤชกล่าวทิ้งท้ายว่า กกพ.ยังเดินหน้าส่งเสริมประชาชนในการประหยัดพลังงานและใช้พลังงานทดแทน เช่น โครงการโซล่าร์ภาคประชาชน (โซลาร์รูฟท็อป) ติดตั้งแผงพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาบ้านที่พักอาศัย กลุ่มโรงพยาบาลฯ และสถานศึกษา ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม การรับมือค่าไฟฟ้าแพง ถือเป็นหน้าที่ที่ประชาชนทุกคนควรร่วมมือกันประหยัดการใช้ไฟฟ้าให้ได้มากที่สุด.-สำนักข่าวไทย