ซิดนีย์ 3 ส.ค. – รัฐนิวเซาท์เวลส์ของออสเตรเลียระบุว่า อาจผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ที่ทำให้ชาวซิดนีย์ 5 ล้านคนต้องอยู่บ้านจนถึงสิ้นเดือนนี้ หากประชากรครึ่งหนึ่งได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19
ทางการรัฐนิวเซาท์เวลส์ ซึ่งมีนครซิดนีย์เป็นเมืองเอก รายงานวันนี้ว่า พบผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่ในชุมชน 199 คนในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ใกล้เคียงกับยอดผู้ป่วยติดเชื้อรายวัน 239 คนเมื่อสัปดาห์ก่อนที่เป็นสถิติสูงสุดในรอบเกือบ 16 เดือน ขณะที่นางแกลดีส เบเรจิกเลียน มุขมนตรีรัฐนิวเซาท์เวลส์ กล่าวว่า ทางการอาจผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ หากฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ให้แก่ประชาชนแล้ว 6 ล้านโดส ก่อนที่มาตรการล็อกดาวน์จะสิ้นสุดในวันที่ 29 สิงหาคม ตัวเลข 6 ล้านโดสนี้คือ จำนวนวัคซีนที่ฉีดเข็มแรกหรือครบ 2 เข็มให้ประชากรแล้วครึ่งหนึ่ง อย่างไรก็ดี นางเบเรจิกเลียนไม่ได้เปิดเผยตัวเลขผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนของรัฐนิวเซาท์เวลส์นับถึงวันอังคาร แต่ระบุว่าทางการกำลังดำเนินการฉีดวัคซีนให้ได้ตามเป้าหมาย
ด้านรัฐควีนส์แลนด์ ซึ่งมีนครบริสเบนเป็นเมืองเอกและเพิ่งขยายมาตรการล็อกดาวน์เมื่อวาน รายงานวันนี้ว่า พบผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่ 16 คนในรอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ทำสถิติตัวเลขผู้ป่วยติดเชื้อรายวันของรัฐในปีนี้
ในขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีสกอตต์ มอร์ริสัน ของออสเตรเลียกล่าวกับผู้สื่อข่าวในกรุงแคนเบอร์ราของออสเตรเลียว่า เขาไม่เห็นด้วยกับแนวคิดมอบเงินจูงใจให้ประชาชนเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิดเพื่อกระตุ้นอัตราฉีดวัคซีน ถ้าประชาชนรู้สึกลังเลใจในการฉีดวัคซีน เขาก็จะไม่ใช้วิธีมอบเงินเพื่อจูงใจให้มาฉีด นอกจากนี้ ผู้นำออสเตรเลียยังเผยแผนนำร่องยุทธศาสตร์แห่งชาติที่ชี้ให้เห็นว่าออสเตรเลียจะต้องฉีดวัคซีนให้ได้ 7 คนในประชาชนทุก 10 คนเพื่อควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19 โดยไม่ต้องใช้มาตรการล็อกดาวน์ที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อเศรษฐกิจ ขณะนี้ ออสเตรเลียมียอดผู้ป่วยติดเชื้อสะสมกว่า 34,500 คน และผู้เสียชีวิต 925 คน. -สำนักข่าวไทย