กมธ.ถ่ายโอนธุรกิจกองทัพฯ บุกกลาโหม

กลาโหม 25 ธ.ค.-กรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการถ่ายโอนธุรกิจของกองทัพฯ บุกกลาโหม ขณะ “บิ๊กอ้วน” ยืนยันความโปร่งใส ระบุสวัสดิการต่างๆ ของกองทัพต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ “ธนาธร” ร่วมวงแต่ หลบสื่อ

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ประชุมร่วมกับ นาย จิรายุ ห่วงทรัพย์ ประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการถ่ายโอนธุรกิจของกองทัพไปอยู่ในความดูแลของหน่วยงานอื่นหรือย้ายไปสถานที่อื่นที่เหมาะสม และคณะกรรมาธิการฯ เพื่อติดตามการดำเนินงานของ กระทรวงกลาโหม พร้อมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่างๆระหว่างกัน เพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น


โดย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยภายหลังประชุม ว่าขอบคุณทุกข้อซักถามและข้อเสนอแนะ เนื่องด้วยเวลาอาจจะน้อยยังขาดอีกบางเรื่องที่ยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ ทั้งนี้หากเปรียบเทียบกับปี๊บหนึ่งใบมองจากสิ่งเดียวกันจะมีทิศทางการมองที่ไม่เหมือนกัน เพราะว่าข้อเท็จจริงของแต่ละด้านอาจจะไม่ไม่ตรงกันไม่เท่ากัน แต่เรายินดีรับฟัง เพื่อมาประกอบการมองทุกอย่างให้ครบถ้วน โดยปัญหาส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของความโปร่งใสและเศรษฐกิจ ความมั่นคง สำหรับเรื่องของความโปร่งใสกระทรวงกลาโหมไม่มีปัญหาอยู่แล้วเราก็ยังจะทำทุกอย่างมีความชัดเจน ในเรื่องกฎหมายก็ต้องทำ ให้ครบถ้วนตามกฎหมาย อีกทั้งข้อสังเกตอื่นๆเราก็จะใช้เป็นข้อพิจารณาเพื่อให้ครบถ้วนรอบด้านมากยิ่งขึ้น รวมถึงผลประโยชน์ทั้งหลาย ตนเองคิดว่าเรารับฟังและเรานำมาทบทวนอะไรที่คิดว่าทำได้ ตนเองไม่มีปัญหาพร้อมเชื่อว่ากองทัพและผู้บังคับบัญชาระดับสูง ก็ยอมรับในการพิจารณาในมิติที่โลกเปลี่ยนแปลงไปก็คิดทั้งนี้ ขอบคุณคณะกรรมธิการวิสามัญที่มามาเยี่ยมเราได้คุยกันว่าถ้าเรามีโอกาสได้คุยกันมองจากจุดท้ายและแลกเปลี่ยนกันก็จะเกิดบรรยากาศที่ดีไม่อยากให้เป็นบรรยากาศที่ตั้งแท่นกัน ซึ่งทุกฝ่ายก็เห็นพ้องกันว่าเราคุยกันได้มากขึ้นรับฟังความเห็นที่แตกต่างกันมากขึ้นและควรได้ข้อสรุปที่ดี สำหรับการแก้ไขปัญหาให้กับประเทศชาติ โดย ตนเองมีความยินดีหากนัดพบกันเพื่อกินข้าวพูดคุยกัน

ขณะที่ นายจิรายุ กล่าวว่าวันนี้เดินทางมาในนามของประธานคณะกรรมาธิการ ได้ลงพื้นที่ไปดูเหนืออีสานกลางใต้ในธุรกิจของกองทัพโดยในวันนี้ได้มาพบกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อพูดคุยถึงสภาพปัญหาที่พบเกี่ยวกับธุรกิจของกองทัพซึ่งวันนี้ถือมีความคืบหน้าเป็นอย่างมากในเรื่องของไฟฟ้าที่อำเภอสัตหีบจังหวัดชลบุรี โดยทราบกันดีอยู่แล้วว่า เป็นอำเภอเดียวของประเทศไทย ที่ไม่ได้ใช้ไฟฟ้าของ การไฟฟ้าส่วน ภูมิภาค ซึ่งวันนี้ในส่วนของกลาโหมมีความคืบหน้าเป็นอย่างมาก


นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของสนามบินดอนเมืองที่หลายคนได้ติดตามก็คือสนามกอล์ฟ ที่อยู่ใกล้เคียงกับสนามบินดอนเมือง โดยที่ที่ผ่านมามีข้อดำริว่า อยากส่งมอบคืนให้กับท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย เนื่องจากในพื้นที่ตรงนั้น เป็นพื้นที่ของกองทัพอากาศ ซึ่งในวันนี้ได้มีการพูดคุยกัน เพื่อหาข้อยุติว่าถ้าส่งมอบคืนแล้ว อันไหนจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยมากที่สุด และในเรื่องของความมั่นคงนั้น จะอยู่ระหว่างเศรษฐกิจ หรือ การขยายสนามบิน หรือ การเพิ่มจำนวนผู้โดยสารหรือไม่อย่างไร ส่วนที่สองก็คือสนามกอล์ฟทูปเตมีย์ คณะกรรมาธิการมีความเห็นว่าส่วนหนึ่งสามารถนำไปทำสวนสาธารณะได้ก็จะเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชน ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของกองทัพอากาศ โดยกองทัพอากาศก็ได้พิจารณาอย่างชัดเจนว่าเป็นพื้นที่ของความมั่นคง ทั้งนี้ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ

อีกทั้งยังมีเรื่องอื่นๆ อาทิ เรื่องของสนามกอล์ฟ โรงแรมสนามมวย และเรื่องของกิจการน้ำมัน และเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวของเหล่าทัพ ซึ่งวันนี้ต้องขอขอบคุณรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และผู้แทนจากกระทรวงกลาโหมที่มาชี้แจงได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเป็นนิมิตหมายอันดี เพื่อส่งเสริมระบอบประชาธิปไตยที่มีกลไกในการทวงคืนของฝ่ายนิติบัญญัติ และฝ่ายบริหารธุรการ รวมทั้งต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบจากการจัดกิจการสวัสดิการภายในหน่วยบางกิจการ ที่มีบุคคลทั่วไปเข้าใช้เป็นจำนวนมาก เป็น การจัดสวัสดิการในเชิงธุรกิจ เพื่อให้มีความถูกต้องและเป็นไป ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดสวัสดิการภายในส่วนราชการ พ.ศ. ๒๕๔๔๗ และจำแนกประเภท การจัดสวัสดิการออกเป็น การจัดสวัสดิการภายในหน่วย และการจัดสวัสติการในเชิงธุรกิจอย่างชัดเจน

สำหรับนโยบายเกี่ยวกับที่ดินที่อยู่ในการดูแลของเหล่าทัพ ซึ่งกองทัพมีที่ดินในความครอบครอง ดูแล และใช้ประโยชน์ รวมทั้งสิ้นประมาณ 5.9 ล้านไร่ โดยส่วนใหญ่ใช้ประโยชน์เป็นที่ตั้งหน่วย พื้นที่ฝึก และดำเนินการตามภารกิจของกองทัพบก ซึ่งปัจจุบันมีประชาชนเข้าใช้ประโยชน์โดยไม่ได้รับอนุญาตและจัดให้เช่าแล้วบางส่วน และยังอยู่ในกระบวนการพิสูจน์สิทธิ เนื้อที่รวมประมาณ 12 ล้านไร่เศษ อย่างไรก็ตาม หากพิสูจน์สิทธิแล้วพบว่า ประชาชนอยู่มาก่อนการเป็นที่ดินของรัฐ กองทัพเคารพสิทสิทธิดังกล่าว โดยประชาชนสามารถไปออกเอกสารสิทธิตามขั้นตอนได้ แต่หากพบว่าสิทธิในที่ดินเป็นของรัฐ กองทัพก็พร้อม ที่จะแก้ไขปัญหาโดยการให้ประชาชนยื่นขอเช่ากับ กรมธนารักษ์ ให้ถูกต้องตามกระบวนการของกฎหมายต่อไปในพื้นที่ที่กองทัพยังไม่ได้ใช้ประโยชน์


สำหรับที่ดินที่กองทัพไม่ได้ใช้ประโยชน์ คือที่ดินที่ส่วนราชการภายนอก ขอใช้ประโยชน์จากกองทัพ และที่ดินที่ประชาชนเข้าใช้ประโยชน์โดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่ง พื้นที่ดังกล่าว กองทัพบก ต้องสงวนไว้ใช้ประโยชน์ สำหรับการฝึกในด้านต่างๆ ต่อไปในอนาคต เมื่อมีความจำเป็น การดำเนินการนำที่ดินไปให้ประชาชนเช่าใช้ประโยชน์ตามนโยบายรัฐบาล ในระยะที่ 1 ห้วงปีงบประมาณ 2567 เหล่าทัพได้ยินยอมให้กรมธนารักษ์ ได้นำพื้นที่ไปจัดให้ประชาชนเช่า เพื่อเป็นที่อยู่อาศัย และทำการเกษตรแล้วจำนวน 16,000 ไร่เศษ และปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการในระยะที่ 2 เนื้อที่รวมประมาณ 59,000 ไร่เศษ

ทั้งนี้ ในการประชุมดังกล่าว นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าคณะก้าวหน้า เดินทางมาด้วย แต่ได้หลบฉาก และไม่ได้ให้สัมภาษณ์ สื่อแต่อย่างใด.-313.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

มุกใหม่มิจฉาชีพ

มุกใหม่มิจฉาชีพ! ป่วนโทรแจ้ง ตร. เกิดเหตุร้ายที่บ้านเหยื่อ

อินฟลูฯ สาว สายทำอาหาร ถูกมิจฉาชีพอ้างเป็นตำรวจโทรหา แต่เธอไม่เชื่อ โดนท้าอีก 10 นาทีเจอกัน ปรากฏว่า มีตำรวจจาก 2 โรงพักบุกมาที่บ้านจริง

“วราวุธ” ระบุการแข่งขัน อบจ.-สุพรรณบุรี ไม่มีปัญหา

“วราวุธ” ระบุการแข่งขัน อบจ.-สุพรรณบุรี ไม่มีปัญหา บอกสนามใหญ่ ไม่เข้าไปก้าวก่ายสนามท้องถิ่น ซ้ายก็เพื่อน ขวาก็พวก

ครม.เคาะแจกเงินหมื่นเฟส 2 ผู้สูงอายุ 60 ปี

“จุลพันธ์” เผย ครม.เห็นชอบโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านกลุ่มผู้สูงอายุ วงเงิน 4 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะดำเนินการทันก่อน 29 ม.ค.68 รวม 3 มาตรการ สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบ 1.4-1.5 แสนล้านบาท

ข่าวแนะนำ

มติกฤษฎีกา “กิตติรัตน์” คุณสมบัติไม่ผ่านนั่งประธานบอร์ด ธปท.

คณะกรรมการกฤษฎีกา 3 คณะ มีมติไม่ผ่านคุณสมบัติ “กิตติรัตน์ ณ ระนอง” เป็นประธานบอร์ดธนาคารแห่งประเทศไทย

เครื่องบินโดยสาร อาเซอร์ไบจาน แอร์ไลน์ ตกในคาซัคสถาน

เครื่องบินโดยสารเอ็มบราเออร์ ของสายการบินอาเซอร์ไบจาน แอร์ไลน์ ที่บินจากอาเซอร์ไบจาน ไปยังประเทศรัสเซีย เกิดอุบัติเหตุตกที่บริเวณใกล้กับเมืองอัคเทา ในคาซัคสถาน โดยมีผู้โดยสาร 62 คน และลูกเรือ 5 คน บนเครื่อง เจ้าหน้าที่คาซัคสถานกล่าวว่า มีผู้รอดชีวิต 28 ราย