กรุงเทพฯ 23 พ.ย.-นายทวารัฐ สูตะบุตร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ประเมินว่า ค่าไฟฟ้า –ค่าก๊าซในครึ่งปีหน้ามีแนวโน้มไม่ขยับขึ้น พร้อมเผย กบง.ปรับแผนนำเข้าแอลเอ็นจีเพิ่มขึ้นหลังประมูลปิโตรเลียมล่าช้า-โรงไฟฟ้าถ่านหินชะลอ ทำให้เสี่ยงค่าไฟฟ้าปลายพีดีพี 2015 (2558-25679 )ขยับขึ้น
นายทวารัฐ กล่าวว่า ในปีหน้า โดยเฉพาะช่วงครึ่งปีแรกมีแนวโน้มอัตราค่าไฟฟ้า ราคาเอ็นจีวี และแอลพีจี จะทรงตัวหรือไม่ปรับขึ้นจากช่วงนี้ เนื่องจากต้นทุนหลักมาจากแหล่งก๊าซธรรมชาติในประเทศ ที่มีสูตรราคาผันแปรตามราคาน้ำมันเตาย้อนหลัง 6-12 เดือน ซึ่งราคาก๊าซฯในประเทศ ราคาปากหลุม 5-6 ดอลลาร์สหรัฐ/ล้านบีทียู ราคาก๊าซเมียนมาร์อยู่ที่ 7 ดอลลาร์/ล้านบีทียู และราคานำเข้าแอลเอ็นจีบวกกับราคาแปลงสภาพอยู่ที่ประมาณ 8 ดอลลาร์/ล้านบีทียู โดยยอมรับว่าในอนาคต เมื่อมีการใช้แอลเอ็นจีเพิ่มขึ้น ก็จะกระทบต่อค่าไฟฟ้าของภาคประชาชนให้สูงขึ้นด้วย
นายทวารัฐ กล่าวว่า การชะลอโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ตามที่นายกรัฐมนตรีระบุ และการประมูลแหล่งสัมปทานหมดอายุคือ แหล่งเอราวัณและบงกช ที่ล่าช้า ทาง กระทรวงพลังงานได้ นำมาประเมินในแผนด้านพลังงาน โดยได้ปรับ GAS PLAN แล้ว 2 รอบ โดยเตรียมแผนนำเข้า ก๊าซธรรมชาติเหลว หรือ แอลเอ็นจีมาทดแทน ซึ่งล่าสุด คณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ที่มี รมว.พลังงานเป็นประธาน ได้เห็นชอบปรับแผนใหม่ ล่าสุดขยับว่าในปี 2579 หรือปลายแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าระยะยาวของประเทศ(พีดีพี 2015(2558-2579) ประเทศไทยต้องนำเข้าแอลเอ็นจีเพิ่มขึ้นเป็น 34 ล้านตัน/ปี จากเดิมประมาณ 23 ล้านตัน/ปี โดยคาดว่าในปี 2565 ความต้องการนำเข้าแอลเอ็นจีจะอยู่ที่ 17.4 ล้านตัน /ปี ในขณะที่แผนประหยัดพลังงานคาดว่า ปลายแผนแล้วจะสามารถลดความต้องการใช้ไฟฟ้าได้ร้อยละ 70 จากแผนเท่านั้น
ดังนั้น กบง.จึงเห็นชอบแผนการจัดหาแอลเอ็นจีเพิ่มเติมเบื้องต้น โดยจะนำเสนอ คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในวันที่ 8 ธ.ค. ประกอบไปด้วย 3.โครงการได้แก่ 1) โครงการ LNG Receiving Terminal แห่งใหม่ จ.ระยอง [T-2] ที่ กพช. ได้เคยมีมติมอบหมายให้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) เป็นผู้ดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จภายในปี 2565 (ตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2559) ให้สามารถดำเนินการขยายให้สามารถรองรับการนำเข้า LNG เพิ่มขึ้น จากเดิม 5 ล้านตันต่อปี เป็น 7.5 ล้านตันต่อปี
2) โครงการ Floating Storage and Regasification Unit (FSRU) ในประเทศเมียนมาร์ขนาด 3 ล้านตันต่อปี โดยมอบหมายให้ ปตท. ไปดำเนินการศึกษาในรายละเอียดให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 พฤษภาคม 2560 ซึ่งจะสร้างที่เมือง KANBAUKของเมียนมาร์ และส่งก๊าซมาใช้ในท่อก๊าซด้านตะวันตกของไทย ผลการศึกษานี้จะครอบคลุมถึงเม็ดเงิน การร่วมทุน และการจัดสรรก๊าซฯว่าจะใช้ใน 2 ประเทศอย่างไร โดยเรื่องนี้ได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการร่วมสองประเทศด้านพลังงานแล้ว โดย กบง.ขอให้เร่งการลงทุนขึ้นอีก 4 ปี จากเดิมเสร็จสิ้นในปี 2569 ก็ขอให้เสร็จภายในปี 2565
3) โครงการ Floating Storage and Regasification Unit (FSRU) ในพื้นที่อ่าวไทยตอนบน ขนาด 5 ล้านตันต่อปี ของ กฟผ. ซึ่งตามแผนจะสร้างเสร็จในปี 2567 โดย กฟผ.จะต้องไปศึกษารายละเอียดเพิ่มเติม
“การที่โรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ชะลอลง การที่เรื่องการผลิตก๊าซจากแหล่งปิโตรเลียมล้าช้าต่อไป ก็ต้องจัดหา แอลเอ็นจีนำเข้าเพิ่มขึ้นเป็นความเสี่ยงด้านราคาค่าไฟฟ้าในอนาคตมากกว่าเดิม จากที่ปลายแผนค่าไฟฟ้าอยู่ที่ประมาณ 5 บาท/หน่วยหรือเฉลี่ยทั้งแผนพีดีพี 2015 อยู่ที่ประมาณ 4.50 บาท/หน่วย “นายทวารัฐกล่าว -สำนักข่าวไทย