กรมสรรพากร 11 พ.ย. – คลังพร้อมขยายโครงการคนละครึ่งเป็นของขวัญปีใหม่ หลังประชาชนร่วมใจใช้จ่ายกระตุ้นเศรษฐกิจ เร่งตั้งคณะกรรมการเร่งรัดเบิกจ่ายงบปี 64 หนุนส่วนราชการจัดประชุมสัมมนากระจายเงินไปต่างจังหวัด เร่งรัดเป็นกลไกหลักลงทุนปลายปี มอบสรรพากรขยายฐานภาษี ใช้เทคโนโลยีบริการผู้เสียภาษี
นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวระหว่างมอบนโยบายผู้บริหารกรมสรรพากร ว่า ทั้งประชาชนรายย่อยผู้ลงทะเบียนและร้านค้าผู้เข้าร่วมโครงการคนละครึ่งให้การตอบรับการใช้จ่ายผ่านโครงการคนละครึ่งเป็นอย่างมาก จึงเตรียมเสนอนายกรัฐมนตรี และ ครม.พิจาณาการขยายโครงการคนละครึ่ง จากเดิมต้องครบกำหนดสิ้นเดือนธันวาคม 2563 เพื่อขยายออกไปในช่วงเทศกาลปีใหม่ โดยต้องพิจารณาว่าจะใช้เงินจากส่วนใดเข้ามาช่วยเหลือ เพราะถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของการเริ่มใช้จ่ายอย่างคึกคักในการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงปัญหาโควิด-19
ส่วนกรณีเงินบาทแข็งค่าในช่วงนี้นั้น ได้หารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อดูแลค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพ เหมาะสมต่อการส่งเสริมการส่งออก เพราะรายได้จากการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยไม่ได้ จึงต้องหาส่วนอื่นเข้ามาชดเชย เพราะรายได้จากการท่องเที่ยวมีสัดส่วนร้อยละ 10 ของจีดีพี โดยทาง ธปท.พร้อมดูแลอัตราดอกเบี้ยระดับต่ำและเงื่อนไขผ่อนปรนส่งเสริมการลงทุนช่วงนี้ เพราะจากการหารือกับนักลงทุนต่างชาติ เช่น กลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า พร้อมขยายการลงทุนในไทยเพิ่ม เมื่อรัฐบาลลดภาษีสรรพสามิตแล้ว ยังมีแนวทางส่งเสริมด้านอื่นเพิ่มเติมอย่างไร
นายอาคม กล่าวว่า ได้ตั้งคณะกรรมการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2564 ในส่วนของภาครัฐ เพื่อให้เป็นกลไกสำคัญในการผลักดันเงินลงทุนออกสู่ระบบผ่านโครงการสำคัญในช่วงไตรมาส 1-2 ของงบประมาณปี 2564 เพื่อใช้เงินลงทุนภาครัฐอัดฉีดสู่ระบบในช่วงปลายปี และยังต้องการให้ส่วนราชการใช้งบประมาณในการจัดประชุมสัมมนา เพื่อกระจายเม็ดเงินออกไปยังต่างจังหวัด แหล่งท่องเที่ยวสำคัญ เพื่อร่วมกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงปลายปีไม่ต่ำกว่าหมื่นล้านบาท
นายอาคม กล่าวเพิ่มเติมว่า ได้มอบนโยบายกับกรมสรรพากรให้ขยายฐานภาษี เพราะประชาชนอยู่ในฐานภาษี 9.55 ล้านคน แต่ยื่นแบบเสียภาษีจริงเพียง 3 ล้านคน ยังเหลืออีก 6 ล้านคนที่ยังไม่เสียภาษี หากดึงกลุ่มที่มีศักยภาพเข้ามาเสียภาษีให้ถูกต้อง จะสร้างความเป็นธรรมให้กับผู้ค้าที่อยู่ในระบบภาษี และช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศได้อีกมาก และยังส่งเสริมให้กรมสรรพากรใช้เทคโนโลยีเข้ามาให้บริการทางภาษีกับประชาชน จึงต้องร่วมมือกับกรมสรรพสามิต กรมศุลกากรเชื่อมโยงข้อมูล Big Data รองรับการค้าออนไลน์ บริการผ่านอินเทอร์เน็ตหลายรูปแบบ ทั้งการค้า การขนส่ง นอกจากนี้ ยังต้องการให้กรมสรรพากรส่งเสริมภาคเอกชนผ่านมาตรการทางภาษี เพื่อให้บริษัทเอกชนดูแลสังคม เช่น หากช่วยกันลดปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 จะมีส่วนช่วยลดภาระต้นทุนอย่างไรผ่านมาตรการภาษี รวมทั้งการปรับระบบเร่งรัดคืนภาษีให้บุคคลธรรมดาได้รับเงินคืนอย่างรวดเร็ว เพื่อให้มีเงินใช้จ่ายในครัวเรือน
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาส อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า กรมสรรพากรตั้งเป้าหมายขยายฐานภาษีในปีงบประมาณ 2564 ประมาณ 500,000 ราย เนื่องจากการค้าปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปมากขยับขึ้นไปสู่ระบบออนไลน์มากขึ้น แม้จะเป็นบุคคลที่มีรายได้ไม่ถึงกำหนดต้องเสียภาษี หากมีรายได้ประจำจากการประกอบอาชีพเพียง 10,000 บาทต่อเดือน ขอให้ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษี ส่วนผู้มีรายได้ 25,000 บาทต่อเดือน อยู่ในขอบข่ายต้องยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษี หากทุกคนที่มีอาชีพอิสระร่วมกันยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีจะทำให้มีเงินกลับมาเข้าพัฒนาประเทศในช่วงโควิด-19 เพราะปีนี้กรมสรรพากรยังคงเดินหน้าจัดเก็บรายได้ภาษี 2.085 ล้านล้านบาท เพราะรายได้ของกรมสรรพากรสัดส่วนร้อยละ 70 ของรายได้ภาษีของทุกกรมจัดเก็บภาษี .-สำนักข่าวไทย