สำนักข่าวไทย 14 ต.ค.- มี 10 เมนูเสี่ยง ที่อาจทำให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษ เนื่องจากในบางพื้นที่มีอากาศร้อน ประกอบกับอาหารบางอย่างทำไว้นานแล้ว จึงอาจทำให้บูดเสียได้ง่าย แนะยึดหลัก “สุก ร้อน สะอาด”
และรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ด้วยความร้อน หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารสุกๆ ดิบๆ หากอาหารมีกลิ่นผิดปกติไม่ควรรับประทาน นะคะ
สถานการณ์โรคอาหารเป็นพิษตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 5 ตุลาคม 2563 พบผู้ป่วย จำนวน 66,494 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต โดยกลุ่มอายุที่พบป่วยมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ อายุ 15-24 ปี รองลงมาคืออายุมากกว่า 65 ปี และอายุ 25-34 ปี ตามลำดับ ส่วนจังหวัดที่มีอัตราป่วยต่อประชากรแสนคนสูงสุด ได้แก่ สมุทรสงคราม ร้อยเอ็ด อุบลราชธานี มุกดาหาร และลําพูน
โรคอาหารเป็นพิษ เกิดจากการรับประทานอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส พยาธิ และสารพิษหรือสารเคมี ที่มาได้กับอาหารที่ปรุงสุกๆ ดิบๆ วัตถุดิบ น้ำดื่ม น้ำแข็ง
ไม่สะอาด อาหารที่ปรุงเสร็จแล้วเก็บไว้นานเกิน 2 ชม. โดยไม่นำไปแช่เย็นหรือนำมาอุ่นร้อนให้ทั่วถึงก่อนรับประทาน ประกอบกับสภาพอากาศ ซึ่งอากาศร้อนทำให้เชื้อแบคทีเรียเจริญเติบโตได้ดี สำหรับอาหารที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอาหารเป็นพิษที่ประชาชนควรระมัดระวัง 10 เมนูเสี่ยง ได้แก่ 1.จ่อม ลาบหรือก้อยดิบ 2.อาหารประเภทยำ เช่น ยำกุ้งเต้น 3.อาหารทะเล เช่น ยำทะเล 4.ข้าวผัด/ข้าวผัดโรยเนื้อปู 5.อาหารหรือขนมที่มีส่วนประกอบของกะทิสด 6.ขนมจีน 7.ข้าวมันไก่ 8.ส้มตำ 9.สลัดผัก และ 10.น้ำแข็งที่ไม่สะอาด นอกจากนี้ การจัดเตรียมอาหารเลี้ยงคนหมู่มาก เช่น อาหารกล่อง ควรเลือกเป็นอาหารแห้ง ไม่ราดกับข้าวลงบนข้าวโดยตรง ควรรับประทานภายใน 2 ชั่วโมงหลังจากปรุงเสร็จ และหากมีสี กลิ่น รส ผิดปกติไม่ควรรับประทานโดยเด็ดขาด
สำหรับการป้องกันโรคอาหารเป็นพิษ ขอให้ประชาชนยึดหลัก “สุก ร้อน สะอาด” โดยรับประทานอาหาร ปรุงสุกใหม่ด้วยความร้อน ไม่มีแมลงวันตอม ล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำและสบู่ทุกครั้งก่อนปรุงประกอบอาหาร ก่อนรับประทานอาหาร หลังเข้าห้องน้ำหรือสัมผัสสิ่งสกปรก ซึ่งอาการของโรคคือ คลื่นไส้ อาเจียน ปวดมวนท้อง ถ่ายอุจจาระเป็นน้ำหรือมีมูกเลือด และอาจมีไข้ร่วมด้วย การปฐมพยาบาลเบื้องต้น ให้จิบน้ำผสมสารละลายเกลือแร่ (ORS) ทีละน้อยๆ แต่บ่อยครั้ง เพื่อป้องกันการขาดน้ำจนช็อกและเสียชีวิตได้ หากอาการไม่ดีขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์ทันที สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422
ขอบคุณที่มา : กรมควบคุมโรค