ดีเอสไอ 18 ก.ย.-ผอ.อคส.ร้องดีเอสไอตรวจสอบและดำเนินคดีอดีตรักษาการ ผอ.ทำสัญญาซื้อถุงมือยาง มูลค่ากว่าแสนล้านบาท หวั่นโครงการนี้กระทบสถานะทางการเงินขององค์กร
นายเกรียงศักดิ์ ประทีปวิศรุต ผู้อำนวยการองค์การคลังสินค้า(อคส.) เข้าทางเข้าร้องทุกข์และยื่นหนังสือ กับ พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อขอให้ตรวจสอบและดำเนินคดีกรณี พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ พุทธิยาวัฒน์ อดีตรักษาการผอ.อคส.มีการทำสัญญาซื้อถุงมือยาง มูลค่ากว่าแสนล้านบาท โดยไม่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการ อคส.และอนุมัติจ่ายเงินมัดจำล่วงหน้าไปถึง 2 พันล้านบาทโดยมิชอบตามกระบวนการของกฎหมายและระเบียบ
นายเกรียงศักดิ์ กล่าวว่า ตนมารับตำแหน่งผู้อำนวยการ อสค.ในวันที่ 10 กันยายน และได้ตรวจงบดุลของ อสค.พบความผิดปกติว่ามีเงินหายไปประมาณ 2,000ล้านบาท จึงได้ตรวจสอบ และพบว่า เกิดจาก โครงการจัดซื้อถุงมือยาง มูลค่าทั้งโครงการกว่า 112,500 ล้านบาท และได้จ่ายเงินล่วงหน้าไปแล้ว 2000 ล้านบาท
โดยโครงการนี้พบความผิดปกติในการเร่งรัดทำสัญญา ซื้อ สัญญาขาย และจ่ายเงินใช้ระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน โดยทำสัญญาขายจำนวน3สัญญา ในวันที่ 25 สิงหาคม 2563 จากนั้นมาทำสัญญาซื้อในวันที่ 31 สิงหาคม 2563 หลังจากนั้นในวันที่ 2 กันยายนได้มีการโอนเงินล่วงหน้าทันทีจำนวน 2000 ล้านบาท ตน จึงได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง และเรียกประชุมคณะกรรมการหรือบอร์ดของอคส.ป็นการฉุกเฉิน ในวาระเร่งด่วนเพื่อทบทวนสัญญา ซึ่งบอร์ดมีมติให้ระงับโครงการ และให้ประสานกับกรมสอบสวนคดีพิเศษรวมทั้งคณะกรรมการป้องกันและปรับปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่ออายัดบัญชีบริษัท คู่สัญญาที่รับโอนเงิน 2,000 ล้าน ซึ่งเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาได้เดินทางไปยื่นเรื่องเพื่อขออายัดบัญชีกับทางปปง.เรียบร้อยแล้ว และมาร้องทุกข์ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษเพื่อให้ติดตามตรวจสอบบริษัทคู่ค้าเส้นทางการเงินเพื่อ ดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด
โดยประเด็นที่พบ ความผิดปกติชัดเจน คือ ไม่มีการเปิดให้ มีการแข่งขันในการจัดซื้อจัดจ้าง ตามระเบียบของหน่วยงานราชการ ซี่งจะต้องมีการเปิดประมูลเป็นการเปิดเผย แต่ในโครงการนี้พบว่าไม่ได้มีการเปิดประมูลตามระเบียบ แต่ได้ระบุชื่อบริษัท บริษัทหนึ่งเข้ามาเลย แล้วอคส.ก็จะเป็นผู้ซื้อจากบริษัทนี้ในมูลค่า 112,500 ล้านบาท จำนวนถุงมือยาง 500ล้านกล่อง ซึ่งเป็นความผิดชัดเจนตามพ.ร.บ.พัสดุปี 2560
ขณะเดียวในส่วนของการขายถุงมือยาง ก็ไม่ได้มีโอการเปิดโอกาสให้มีการประมูลผู้เข้ามาซื้อเช่นกัน โดยระบุไปเลยว่ามีบริษัทที่จะเข้ามาซื้อจำนวน 3 ราย รายที่หนึ่งเป็นผู้ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการทำทุเรียนอบแห้งส่งออก /รายที่สองเป็นสำนักงานทนายความรับมอบอำนาจมา/และบริษัทสุดท้ายก็เป็นบริษัทบริหารงานทั่วไปที่รับมอบอำนาจมาเช่นกัน
นอกจากนี้ยังพบว่ารักษาการผอ.ยังไม่มีอำนาจอนุมัติงบเกิน 25 ล้านบาทหากเกินกว่านั้นแต่ไม่เกิน 50 ล้านบาทต้องเสนอประธานบอร์ดพิจารณา หากเกิน 50 ล้านบาทต้องเสนอบอร์ดพิจารณาเท่านั้น แต่ครั้งนี้ต้องจัดหาเงินมากถึง 2000 ล้านบาทแต่ไม่ได้เสนอบอร์ดพิจารณาตามขั้นตอน เป็นการทำเองโดยพลการ
ส่วนการใช้เงินในโครงการนี้ไปแล้ว 2000 ล้านบาทจะกระทบกับสถานะของอคส.หรือไม่ เนื่องจากอคส.ขาดทุนสะสมต่อเนื่องมาหลายปี ผอ.อคส.กล่าวว่า 2000 ล้านบาทนี้จะเป็นค่าใช้จ่ายขององค์กรหรือไม่ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของสตง.ว่าจะตั้งสำรองหนี้สูญหรือไม่ ตั้งเป็นหนี้สูญก็จะกระทบกับผลการดำเนินงานของอคส.อย่างแน่นอน
“คำสั่งของบอร์ดได้มีการอนุมัติโครงการนี้ไปแล้ว เงิน 2,000ล้านที่จ่ายไปเป็นการจ่ายล่วงหน้า โครงการนี้ไม่ได้มีการพิสูจน์ว่าคู่ค้าทั้งผู้ขายและผู้ซื้อ มีความสามารถทางการเงินหรือไม่ ซึ่งตามปกติก็ต้องมีการตรวจสอบ ฐานะทางการเงินรวมทั้งเชิญผู้เกี่ยวข้องเข้ามาร่วมจัดทำแผนเนื่องจากเป็นโครงการที่มีมูลค่าสูงมาก แต่กลับมีการจ่ายเงินล่วงหน้าให้ 2,000ล้านเลย ดูระยะเวลาการทำสัญญาโครงการนี้มีความเร่งด่วน โดยตนจะไปยื่นเรื่องกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติสัปดาห์หน้าเพื่อช่วยตรวจสอบในเรื่องนี้ด้วย”ผอ.อคส.กล่าว
พ.ต.ท.กรวัชร์ ปานประภากร อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวว่า จะรับเรื่องและเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบว่าจะมีลักษณะฐานความผิดเข้าองค์ประกอบป็นคดีพิเศษได้หรือไม่ โดยมองใน2ลักษณะ คือ อาจเป็นฐานเจ้าพนักงานกระทำความผิด หรือการทำความผิดในลักษณะฉ้อฉลโดยการนำเงินออกไปใช้ มอบหมายให้รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษไปดูรายละเอียด ในเรื่องนี้ซึ่งต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง.-สำนักข่าวไทย