จ. ราชบุรี 2 ก.ย.-โฆษกกองทัพไทยเผยผบ.ทสส.เป็นประธานส่งกำลังพลไปปฏิบัติภารกิจรักษาสันติภาพ ผลัด 2 ที่เซาท์ซูดาน ย้ำเข้ากระบวนการคัดกรองโรค กักตัว 14 วันก่อนไป
พล.ต.ธีรพงศ์ ปัทมสิงห์ ณ อยุธยา โฆษกกองทัพไทย เปิดเผยว่า พล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นประธานในพิธีส่งกำลังพลของกองทัพไทยจำนวน 273 นาย ที่จะเดินทางไปปฏิบัติภารกิจรักษาสันติภาพของสหประชาชาติ (UN) ในสาธารณรัฐเซาท์ซูดาน (United Nations Mission in South Sudan) ผลัดที่ 2 ที่กรมการทหารช่าง จังหวัดราชบุรี ซึ่งการส่งกำลังพลครั้งนี้เป็นการผลัดเปลี่ยนกำลังกองร้อยทหารช่างเฉพาะกิจไทย/เซาท์ซูดาน กับกำลังพลผลัดที่ 1 ที่กำลังปฏิบัติภารกิจในสาธารณรัฐเซาท์ซูดานตั้งแต่เดือนธันวาคม 2561 จนถึงปัจจุบัน
โฆษกกองทัพไทย กล่าวว่า ภารกิจของกองร้อยทหารช่างเฉพาะกิจไทย/เซาท์ซูดาน ผลัดที่ 2 เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ในภารกิจรักษาสันติภาพของสหประชาชาติในสาธารณรัฐเซาท์ซูดาน โดยเป็นไปตามพันธกรณีที่มีต่อ UN โดยมีกำหนดไปปฏิบัติภารกิจที่สาธารณรัฐเซาท์ซูดานในวันที่ 21 กันยายนนี้ ทั้งนี้ กำลังพลทุกนายจะได้รับการปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุขที่เข้มข้นก่อนออกจากประเทศไทย โดยจะเข้ารับการคัดกรองและกักกันเพื่อสังเกตอาการตามมาตรการด้านสาธารณสุขที่โรงแรมนนทบุรีพาเลซ จังหวัดนนทบุรี เป็นเวลา 14 วัน เข้ารับการตรวจยืนยันทางห้องปฏิบัติการ และออกหนังสือรับรองปลอดการติดเชื้อ
พล.ต.ธีรพงศ์ กล่าวว่า กำลังพลทั้งหมดจะเดินทางโดยอากาศยานเช่าเหมาลำของสหประชาชาติที่ท่าอากาศยานดอนเมือง ซึ่งจะเตรียมพื้นที่ปิดเป็นสัดส่วนเฉพาะเพื่อพักคอยและดำเนินกรรมวิธีตามขั้นตอนการออกนอกราชอาณาจักรในห้วงการเดินทางบนอากาศยาน ซึ่งเป็นไปตามมาตรการของ ICEO และเมื่อเดินทางถึงสาธารณรัฐเซาท์ซูดาน จะได้รับการคัดกรองตามมาตรการของเซาท์ซูดาน และเข้ารับการกักตัว 14 วัน ณ สถานกักกันของสหประชาชาติ เพื่อดำเนินกรรมวิธีตามขั้นตอนของสหประชาชาติต่อไป
“ในห้วงที่ผ่านมากองกำลังของไทยได้รับการยอมรับจากสหประชาชาติและองค์การต่าง ๆ ในความเป็นมืออาชีพ โดยเฉพาะคุณสมบัติพิเศษที่ไม่สามารถหาได้จากชาติใด ๆ ได้แก่ การสนับสนุนด้านการพัฒนาเพื่อความมั่นคงอย่างยั่งยืน ควบคู่ไปกับการปฏิบัติภารกิจทางยุทธวิธี กองกำลังของไทยจึงได้รับการพิจารณาจากสหประชาชาติตามพันธกรณีให้เข้าร่วมภารกิจรักษาสันติภาพอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นบทบาท เกียรติภูมิ และความภาคภูมิใจของประเทศไทยในเวทีโลก รวมทั้งยังเป็นการเสริมสร้างความรู้และประสบการณ์ให้กับกองทัพไทย เพื่อพัฒนาศักยภาพของกำลังพลและยุทโธปกรณ์ไปสู่ความเป็นเลิศตามมาตรฐานสากลต่อไป” โฆษกกองทัพไทย กล่าว.-สำนักข่าวไทย