กรุงเทพฯ 24 ส.ค. – KBSPIF เปิดซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ วันแรก ราคา 10.10 บาท ชูโครงสร้างรายได้จากสัญญาขายไฟฟ้าให้ภาครัฐระยะยาว 20 ปี พร้อมจ่ายปันผลนักลงทุนปีละ 2 ครั้ง แต่ละรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 90% ของกำไรสุทธิที่ปรับปรุงแล้ว
กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้ากลุ่มน้ำตาลครบุรี โรงไฟฟ้าชีวมวล ใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า “KBSPIF” เปิดซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) วันแรก ด้วยราคา 10.10 บาท เหนือราคาจองที่ 10.00 บาท หรือเพิ่มขึ้น 1%
KBSPIF ลงทุนในสิทธิ์ผลประโยชน์จากการประกอบกิจการไฟฟ้าของบริษัท ผลิตไฟฟ้าครบุรี (KPP) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าชีวมวลที่ใช้กากอ้อยเป็นเชื้อเพลิง โดยมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 2,800 ล้านบาท โดยกองทุนฯ จะมีรายได้จากส่วนแบ่งรายได้ในอัตราร้อยละ 62 ของรายได้ตามสัญญาขายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และ บมจ.น้ำตาลครบุรี รวม 25.5 เมกะวัตต์ ตลอดอายุสัญญาประมาณ 20 ปี พร้อมประมาณการจ่ายเงินปันส่วนแบ่งแก่ผู้ถือหน่วยลงทุนในปีแรกอยู่ที่ 8.95% และอัตราผลตอบแทนภายในที่ประมาณ 7.00% ทั้งนี้ KBSPIF มีนโยบายการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนไม่น้อยกว่าปีละ 2 ครั้ง โดยรวมแล้วแต่ละรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 90% ของกำไรสุทธิที่ปรับปรุงแล้ว
นายอิสสระ ถวิลเติมทรัพย์ กรรมการ บริษัท น้ำตาลครบุรี จำกัด (มหาชน) หรือ KBS กล่าวว่า กลุ่มน้ำตาลครบุรีมีความเชื่อมั่นศักยภาพของสินทรัพย์โรงไฟฟ้าของ KPP ที่กองทุน KBSPIF เข้าลงทุน และมั่นใจว่า โรงไฟฟ้าของ KPP จะสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนตลอดอายุสัญญา พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนก่อสร้างโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ขนาด 18 เมกะวัตต์ และมีแนวคิดจะนำโรงไฟฟ้าชีวมวลแห่งใหม่ เพื่อเข้าระดมทุนเพิ่มเติมในอนาคต
ขณะที่ความเสี่ยงในเรื่องของวัตถุดิบจากกากอ้อยจากภาวะภัยแล้งนั้น ผู้บริหารน้ำตาลครบุรี ระบุว่า จากภาวะภัยแล้งสุดที่เกิดขึ้นปีที่ผ่านมาไม่กระทบต่อวัตถุดิบที่ใช้การผลิตไฟฟ้า แม้วัตถุดิบหลักอย่างกากอ้อยลดลงเหลือเพียง 1.7 ล้านตัน หรือลดลงประมาณ 47% เนื่องจากความต้องการใช้อยู่ที่ 500,000-600,000 ตันเท่านั้น รวมทั้งยังมีวัตถุดิบอื่นสำรอง เช่น เปลือกไม้สัก และมีแผนที่จะรับซื้อใบอ้อยสดในอนาคต พร้อมกันนี้ยังมีความมั่นใจในการประกอบธุรกิจ โดยเฉพาะนโยบายที่ชัดเจนของรัฐบาลในการส่งเสริมโรงไฟฟ้าชีวมวล และโรงไฟฟ้าชุมชน ซึ่งบริษัทพร้อมที่จะเข้าร่วมประมูล
นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) ในฐานะบริษัทจัดการกองทุน KBSPIF ระบุว่า กองทุน KBSPIF มีจุดเด่นด้านโครงสร้างการแบ่งกระแสรายได้เข้ากองทุนรวมฯ มีความผันผวนต่ำจากสัญญาจำหน่ายไฟฟ้าระยะยาวให้แก่ กฟผ. และ KBS อีกทั้ง กองทุน KBSPIF ไม่ต้องรับภาระค่าใช้จ่ายการดำเนินงานโรงไฟฟ้า ได้แก่ ค่าวัตถุดิบ ค่าซ่อมแซมและการบำรุงเครื่องจักรของโรงไฟฟ้า ส่งผลให้กองทุน KBSPIF มีกระแสรายได้ที่มั่นคง ประกอบกับ กองทุนฯ ยังปิดความเสี่ยงด้านการขาดแคลนวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้า โดยการเข้าทำสัญญากับ KBS ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตน้ำตาลทรายรายใหญ่ของประเทศ ซึ่งจะเป็นผู้จัดหาวัตถุดิบมาป้อนให้แก่โรงไฟฟ้าตลอดอายุสัญญากองทุน เพื่อให้ผู้ลงทุนมั่นใจได้ว่าโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวลที่กองทุนฯ เข้าลงทุนจะมีวัตถุดิบที่เพียงพอสำหรับผลิตกระแสไฟฟ้าและสามารถสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอให้แก่นักลงทุนได้
ทั้งนี้ ด้วยจุดเด่นของโครงสร้างรายได้ ทำให้กองทุน KBSPIF ราคาไม่เหวี่ยงขึ้นลงแรงเหมือนหุ้น และไม่มีความผันผวนมากในอนาคต อีกทั้งยังสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีและมีความสม่ำเสมอในระยะยาว ทำให้กองทุนลักษณะนี้ที่มักได้รับความสนใจจากนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อย .- สำนักข่าวไทย