วิเคราะห์กลวิธีเลือกพยาน พลิกให้ “บอส” หลุดทุกคดี

กทม. 31 ก.ค. – มีคำถามว่าอะไรทำให้ “บอส อยู่วิทยา” รอดทุกคดี มีมุมมองจากอดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญว่า เป็นธรรมดาที่ผู้ถูกกล่าวต้องทำทุกทางเพื่อให้รอดพ้นคดี ซึ่งเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต้องทำความจริงให้กระจ่าง ขณะที่มีการตั้งข้อสังเกตถึงความเชื่อมโยงว่าทำไมทีมทนาย “บอส” จึงไปร้อง กมธ.ยุติธรรม สนช.

2 พยานบุคคลที่เป็นหลักฐานใหม่จนทำให้นายวรยุทธ หรือบอส อยู่วิทยา รอดทุกคดี คือคำให้การเรื่องความเร็วรถเฟอร์รารี่ที่บอสขับชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ ว่าไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จากเดิมที่สำนวนแรกระบุความเร็วไว้ที่ 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จนนำไปสู่การสั่งไม่ฟ้องของอัยการ ในข้อหาขับรถประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย


ขณะที่ในชั้นสอบสวน มีประเด็นพบส่วนผสมสารเสพติดโคเคนในเลือดของบอส ที่อ้างถึงพยานซึ่งเป็นทันตแพทย์ยืนยันว่า สารที่ตรวจพบเป็นยาที่ใช้รักษาฟัน จนทำให้บอสไม่ถูกตั้งข้อหายาเสพติด รวมทั้งประเด็นเมาแล้วขับ ที่ถูกตัดทิ้งไปในชั้นสอบสวนเช่นกัน ที่มีการระบุว่าพนักงานสอบสวนไม่สามารถตรวจวัดแอลกอฮอล์ได้ทันทีหลังเกิดเหตุ กว่าจะตรวจได้ก็ผ่านไป 10 ชั่วโมง แม้จะยังพบปริมาณแอลกอฮฮล์เกิน แต่เจ้าตัวให้การว่าเป็นการเมาหลังขับ ซึ่งตามกฎหมายระบุว่า การจะนำคดีตรวจสอบแอลกอฮอล์ขึ้นสู่ศาลได้ต้องตรวจวัดทันทีหลังเกิดเหตุ ทำให้ไม่สามารถเอาผิดได้

อาจารย์จรัญ ภักดีธนากุล ให้ข้อมูลว่า การขับรถเร็วเกินกำหนด ไม่ได้ถือว่าประมาทเสมอไป แต่ก็มีน้ำหนักมากต่อรูปคดี จึงมีการต่อสู้กันในประเด็นนี้อย่างหนัก รวมทั้งประเด็นสารเสพติด ก็มีผลต่อการพิจารณาโทษทั้งสิ้น ผู้ต้องหาต้องต่อสู้ทุกทางเพื่อให้พ้นข้อกล่าวหา จึงเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต้องพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อให้ความจริงกระจ่าง


นอกจากเรื่องพยานที่ยังต้องตรวจสอบกันต่อไป ยังมีข้อสังเกตจากอดีต ผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ว่า ทำไมทีมทนายของบอส เลือกที่จะไปร้องขอความเป็นธรรมกับคณะกรรมาธิการกฎหมาย กระบวนการยุติธรรม และกิจการตำรวจ ของ สนช. ซึ่งไม่ใช่หน่วยงานที่เชี่ยวชาญโดยตรง จนนำไปสู่อัยการสูงสุด ขณะที่กรรมาธิการชุดที่รับเรื่องส่วนใหญ่เป็นนายตำรวจ และ ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ ผู้ตาย ก็เป็นตำรวจ หากจะทำให้เกิดความเป็นกลาง ควรส่งหน่วยงานกลางที่มีความเชี่ยวชาญตรวจสอบ

หลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องเห็นตรงกันว่า คดีนี้สั่นคลอนกระบวนการยุติธรรมทั้งระบบ จำเป็นต้องมีการตรวจสอบความจริงให้ปรากฏ หากพบพยานหลักฐานใหม่ก็ตรวจสอบดำเนินการได้อีก ตราบใดที่คดียังไม่หมดอายุความ. – สำนักข่าวไทย


ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ประหารชีวิตแอมไซยาไนด์

ศาลอาญาพิพากษาประหารชีวิต “แอม ไซยาไนด์”

ศาลอาญาพิพากษาประหารชีวิต “แอม ไซยาไนด์” ส่วนอดีตสามี คุก 1 ปี 4 เดือน “ทนายพัช” คุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา ชดใช้ ให้ผู้เสียหายกว่า 2 ล้านบาท

นายกฯ ถกตั้งนายพลตำรวจ 41 ตำแหน่ง ยันไม่มีการเมืองแทรก

นายกฯ ถกแต่งตั้งนายพลตำรวจ 41 ตำแหน่ง ยันไม่มีการเมืองแทรก ยึดตาม พ.ร.บ.ตำรวจ ฉบับใหม่ พลิกโผ ‘สยาม บุญสม’ ผงาดคุมนครบาล ‘สันติ ชัยนิรามัย’ นั่ง ผบช.ปส. ‘ไตรรงค์ ผิวพรรณ’ โยกคุมไซเบอร์ ‘ภาณุมาศ บุญญลักษม์’ ขึ้นเป็น ผบช.สตม.

ดีเอสไอพบเส้นเงินโอนจากแม่ถึงนักการเมือง ส. เกือบ 100 ล้าน

ดีเอสไอพบเส้นเงินโอนจากแม่ถึงนักการเมือง ส. เกือบ 100 ล้านบาท จำนวนนี้พบโอนจาก “บอสพอล-บอสปีเตอร์” ด้วย เร่งขยายผลมีบอสรายอื่นโอนเข้าบัญชีดังกล่าวอีกหรือไม่

ข่าวแนะนำ

“เอวา” เสือโคร่งสายแบ๊ว ดาวรุ่งดวงใหม่

หน้าตาที่น่ารักบ้องแบ๊วเหมือนแมวตัวโต ตกหัวใจคนรักสัตว์กันไปเต็มๆ สำหรับน้องเอวา เสือโคร่งสายแบ๊วของเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี นอกจากหน้าตาน่ารักแล้วยังมีความสามารถหลายอย่าง จนกลายเป็นดาวรุ่งดวงใหม่ ที่ผู้คนแห่ไปชมความน่ารักกันอย่างคึกคัก คาดจะช่วยดึงนักท่องเที่ยวไปที่เชียงใหม่ไนท์ซาฟารีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ต้อนรับอบอุ่น “โอปอล” รองอันดับ 3 มิสยูนิเวิร์ส 2024 ถึงไทย

กลับถึงไทยแล้ว “โอปอล สุชาตา” รองอันดับ 3 มิสยูนิเวิร์ส 2024 ปรากฏตัวในชุดไทย สวยสง่า แฟนนางงามต้อนรับอย่างอบอุ่น

“สนธิ” ยื่นถอด “ตั้ม-เดชา” ออกจากทนาย

“สนธิ ลิ้มทองกุล” หอบหลักฐานบุกสภาทนายความ ถอดทนายตั้ม-ทนายเดชา ออกจากทนาย ระบุ ได้รับมอบอำนาจจาก “มาดามอ้อย” แล้ว เดินหน้าเอาผิด ทนายตั้มแบบสุดซอย ไม่ให้มีคนตกเป็นเหยื่อผู้รู้กฎหมายอีก

นายกฯ โชว์วิสัยทัศน์บนเวที Forbes ดันเศรษฐกิจไทย ส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์

“นายกฯ แพทองธาร” โชว์วิสัยทัศน์บนเวที Forbes Global CEO Conference ครั้งที่ 22 ดันเศรษฐกิจไทย ส่งเสริมซอฟต์พาวเวอร์ รับมือความท้าทาย ชูจุดเด่นไทยอยู่ตรงกลางของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีภาคการเกษตรที่เข้มแข็งดึงดูดนักลงทุน บอกกระตุ​้นเศรษฐกิจ​แจกเงินหมื่นเฟส​ 2 พุ่งเป้าเงินสะพัด ลั่น​จุดยืนไทยวางตัวเป็นทูตสันติภาพ พร้อมปรับตัวตามนโยบาย “ทรัมป์”