อุโมงค์-ตู้ฉีดพ่นฆ่าเชื้อโควิด ใช้สารเสี่ยงอันตราย

กทม. 23 มิ.ย. – หลังคลายล็อกดาวน์ หลายกิจการสร้างความมั่นใจให้ประชาชน ด้วยการติดตั้งอุโมงค์หรือตู้ฉีดพ่นฆ่าเชื้อโควิดบนร่างกายกันอย่างแพร่หลาย แต่สมาคมโรคติดเชื้อ และ อย. มีคำเตือนอุโมงค์และตู้เหล่านี้ใช้สารเสี่ยงอันตราย ยังไม่มีผลิตภัณฑ์ใดขึ้นทะเบียนกับ อย. ใครฝ่าฝืนโฆษณาขายจะดำเนินคดีทันที


อุโมงค์ฆ่าเชื้อโรค ความสูง 2 เมตร ยาว 1 เมตร 80 เซนติเมตร ทำงาน 3 ระบบ ทั้งฉีดพ่นรอบทิศทางด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อไฮโปคลอรัสแอซิด (Hypochlorous Acid) ที่นำเข้าจากญี่ปุ่น เป่าลมร้อน ดูดอากาศ และฉายรังสียูวีโดยอัตโนมัติเมื่อมีคนเดินผ่าน เป็นอุโมงค์ตัวอย่างฉีดพ่นฆ่าเชื้อบนร่างกายที่ “อัศวิน โรมประเสริฐ” คิดค้นและผลิตขึ้น ก่อนที่จะปรับรูปแบบมาเป็นอุโมงค์ขนาดเล็กลง เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการใช้งาน ช่วงแรกมียอดสั่งซื้อเข้ามามากจากหลายหน่วยงานที่ต้องการนำใช้ไปใช้คัดกรองโรคโควิด-19 แต่ด้วยสถานการณ์ในไทยไม่ได้รุนแรงมาก และ อย.เตือนว่าการใช้อุโมงค์หรือตู้พ่นสารฆ่าเชื้อโควิดเสี่ยงเกิดอันตราย ทำให้ยอดขายลดลง  จนต้องเลิกผลิต ทั้งโครงการลงทุนไปเกือบล้าน แต่ขายได้ราว 400,000 บาทเท่านั้น


หลังคลายล็อกดาวน์ หลายกิจการที่กลับมาเปิดให้บริการ  เช่น ห้างสรรพสินค้า โรงภาพยนตร์ สถานที่ราชการ และสถานที่ท่องเที่ยว พยายามสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน ด้วยการติดตั้งอุโมงค์ หรือตู้ฉีดพ่นสารฆ่าเชื้อบนร่างกายกันอย่างแพร่หลาย กระทั่งสมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย และ อย. ต้องออกประกาศเตือนว่า การฉีดพ่นทําลายเชื้อโรคบนร่างกายไม่ได้ช่วยเพิ่มความปลอดภัย และอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้ อีกทั้งปัจจุบันก็ยังไม่มีผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อโรคฉีดพ่นบนร่างกายที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจาก อย. 


จากการตรวจสอบพบว่า สารส่วนใหญ่ที่นำมาใช้เป็นวัตถุอันตรายที่ขึ้นทะเบียนไว้สำหรับฆ่าเชื้อโรคบนพื้น ฝาผนัง หรือผิววัสดุ  หรือเครื่องสําอางที่ใช้ในการทำความสะอาดในชีวิตประจำวัน เช่น สบู่เหลว และน้ำเกลือ ซึ่งเป็นการใช้ที่ผิดวัตถุประสงค์ ไม่ผ่านการประเมินประสิทธิภาพการฆ่าเชื้อบนร่างกาย อาจเกิดอันตรายจากการสัมผัสผิวหนัง การสูดดมหายใจเข้าไป หรือเข้าตาได้ ที่สำคัญยังก่อให้เกิดความเข้าใจผิดแก่ผู้ใช้บริการจนละเลยการดูแลป้องกันตัวเองอย่างถูกวิธี 

รองเลขาธิการ อย. ย้ำผู้ใดผู้ผลิต นําเข้า จําหน่าย จัดทําฉลากหรือโฆษณาเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อโรคที่ใช้ฉีดพ่นบนร่างกาย ในอุโมงค์หรือตู้ ถือว่ามีความผิดตามกฎหมายของ อย. หากตรวจพบจะดําเนินคดีทันที ขณะที่อุโมงค์หรือตู้ฉีดพ่นฆ่าเชื้อโรคบนร่างกาย ก็มีราคาสูง ตั้งแต่หลักหลายหมื่นจนถึงหลายแสนบาท จึงเป็นการสิ้นเปลืองโดยไม่เป็นจำเป็น และไม่เกิดประโยชน์  . – สำนักข่าวไทย 

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

สำนักสงฆ์หูตาทิพย์

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์”

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์” พระอ้างใช้สอนวิปัสสนากรรมฐาน เบื้องต้นอายัดไว้พิสูจน์ดีเอ็นเอ พร้อมเอาผิดหัวหน้าสำนักสงฆ์ ฐานนำศพเก็บไว้ในสถานที่ที่ไม่ใช่สุสานและฌาปนสถาน

“สนธิ” ยื่นถอด “ตั้ม-เดชา” ออกจากทนาย

“สนธิ ลิ้มทองกุล” หอบหลักฐานบุกสภาทนายความ ถอดทนายตั้ม-ทนายเดชา ออกจากทนาย ระบุ ได้รับมอบอำนาจจาก “มาดามอ้อย” แล้ว เดินหน้าเอาผิด ทนายตั้มแบบสุดซอย ไม่ให้มีคนตกเป็นเหยื่อผู้รู้กฎหมายอีก

รัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มยูเครน

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย แถลงยืนยันว่ารัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มภาคตะวันออกยูเครนเมื่อวานนี้ ตอบโต้ที่ยูเครนใช้ขีปนาวุธที่ได้รับมอบจากสหรัฐและอังกฤษ

ข่าวแนะนำ

“เหนือ-อีสาน-กลาง” อากาศเย็น ภาคใต้ฝนตกหนัก

กรมอุตุฯ รายงานภาคเหนือ อีสาน และภาคกลาง อากาศเย็นในตอนเช้า มีฝนเล็กน้อยบางแห่ง ส่วนภาคใต้ฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ระวังน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก

โค้งสุดท้าย ศึกสองนารีชิงเก้าอี้ นายก อบจ.นครฯ

เหลือไม่ถึง 2 วันแล้ว ที่ชาวนครศรีธรรมราชจะได้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งนายก อบจ.นครฯ ศึกนี้เป็นการสู้กันเองของพรรคร่วมรัฐบาล ฝ่ายหนึ่งต้องการรักษาฐานที่มั่นไว้ให้ได้ อีกฝ่ายต้องการเจาะฐานให้แตก เพื่อหวังครองที่นั่งการเมืองระดับชาติในสมัยหน้า

ร้อนระอุโค้งสุดท้าย ศึกชิงเก้าอี้ นายก อบจ.อุดรธานี

การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ครั้งนี้ดุเดือดเกินคาด ผู้สมัครจาก 2 พรรคใหญ่ลงชิงชัย ต่างเร่งเครื่องเต็มที่ในโค้งสุดท้าย การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 24 พ.ย.นี้ ใครจะเป็นผู้คว้าชัยชนะและสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญให้จังหวัดอุดรธานี ไปติดตามจากรายงาน

ความเห็นนักวิชาการ คดีทักษิณ

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับคำร้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและพรรคเพื่อไทย ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง ขณะที่นักวิชาการชี้ว่าไม่ได้พลิกไปจากความคาดหมาย และผลจากคดีนี้ ไม่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนทางการเมือง แต่ก็ยังมีจุดเสี่ยงที่ต้องระวัง