กรุงเทพฯ
13 มิ.ย.- กสิกรไทยคาดบาทไทยสัปดาห์หน้า เคลื่อนไหว
30.70-31.20 บาทต่อดอลลาร์ฯ หลังสัปดาห์ที่ผ่านมาแข็งค่าสุดในรอบ
4 เดือน ด้าน
บล.กสิกรไทย มองว่า หุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,370 และ 1,350 จุด แนวต้านอยู่ที่ 1,400 และ
1,420 จุด ตามลำดับ
บริษัท
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด รายงานว่า เงินบาทไทยสัปดาห์ที่ผ่านมาแข็งค่าทะลุแนว 31.00 ไปแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบกว่า 4 เดือนที่ 30.83 บาทต่อดอลลาร์ฯ ฐานะเงินบาทแข็งค่าสอดคล้องกับสถานะซื้อสุทธิพันธบัตรไทยของนักลงทุนต่างชาติ
ประกอบกับคาดว่ามีแรงขายเงินดอลลาร์ฯ จากกลุ่มผู้ส่งออก ,เงินดอลลาร์ฯ ยังเผชิญแรงขาย
หลังธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด ย้ำสัญญาณผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อเนื่อง พร้อมประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ
หดตัวรุนแรงถึง 6.5% ในปีนี้
อย่างไรก็ดีช่วงแข็งค่าของเงินบาทเริ่มจำกัดในช่วงปลายสัปดาห์
เนื่องจากตลาดรอติดตามท่าทีการเข้าดูแลค่าเงิน ของ ธนาคารแห่งประเทศไทยย (ธปท.)
อย่างใกล้ชิด โดยในวันศุกร์ (12 มิ.ย.) เงินบาทอยู่ที่ระดับ 30.95 เทียบกับระดับ 31.48 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (5 มิ.ย.)
ด้านหุ้นไทยร่วงลงหลุดกรอบ
1,400 จุด โดยดัชนี SET
ปิดที่ระดับ
1,382.56 จุด ลดลง 3.70% จากสัปดาห์ก่อน
ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 93,412.05 ล้านบาท ลดลง 1.42% จากสัปดาห์ก่อน ส่วนดัชนี mai เพิ่มขึ้นเพียง 0.02% จากสัปดาห์ก่อน
มาปิดที่ 294.55 จุด โดยเผชิญแรงขายตามตลาดต่างประเทศ
หลังปรับตัวรับแรงหนุนจากการทยอยเปิดเศรษฐกิจในหลายๆ
ประเทศไปมากแล้วในช่วงก่อนหน้านี้
นอกจากนี้มุมมองที่สะท้อนความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ของเฟด และความเสี่ยงต่อการระบาดระลอกสองของโควิด-19 ในสหรัฐฯ กระตุ้นแรงขายในตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้นไทยในช่วงปลายสัปดาห์
สัปดาห์ถัดไป
(15-19 มิ.ย.) ธนาคารกสิกรไทยประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทที่
30.70-31.20 บาทต่อดอลลาร์ฯ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย
จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยมีแนวรับที่ 1,370 และ 1,350 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,400 และ 1,420 จุด
ตามลำดับ โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สุนทรพจน์ของประธานเฟด ผลการประชุมของธนาคารกลางญี่ปุ่นและธนาคารกลางอังกฤษ
ความคืบหน้าการพิจารณามาตรการกระตุ้นภาคการท่องเที่ยว
รวมถึงสถานการณ์โควิด-19 ทั้งในและต่างประเทศ ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ
ได้แก่ ยอดค้าปลีก ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม และตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านเดือนพ.ค.
ขณะที่ ปัจจัยต่างประเทศที่สำคัญอื่นๆ ได้แก่
การประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่นและธนาคารกลางอังกฤษ
ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนพ.ค. ของญี่ปุ่น และยูโรโซน รวมถึงยอดค้าปลีก
ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมและการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรเดือนพ.ค. ของจีน–สำนักข่าวไทย