สหรัฐ 2 มิ.ย.- ผู้นำสหรัฐขู่จะส่งทหารเข้าไปปราบปรามผู้ประท้วงในรัฐที่ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ขณะที่มีความกังวลว่า การประท้วงอาจทำให้ไวรัสโคโรนายิ่งแพร่ระบาดมากขึ้นได้
การประท้วงจากชนวนเรื่องการเสียชีวิตของจอร์จ ฟลอยด์ ชายผิวสีที่ถูกตำรวจใช้เข่ากดคอนานเกือบ 9 นาทีจนตายกำลังนำไปสู่เหตุจลาจลครั้งรุนแรงที่สุดในรอบหลาย 10 ปีในกว่า 40 เมืองทั่วสหรัฐ หลังถูกวิจารณ์ว่า ปิดปากเงียบทั้งๆ ที่เหตุการณ์กำลังวิกฤติ เมื่อวานนี้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมาแถลงขู่ว่า จะส่งกำลังทหารและเจ้าหน้าที่ไปยุติการจลาจล การปล้นสะดมและการทำลายทรัพย์สิน พร้อมเรียกร้องให้บรรดาผู้ว่าการรัฐรีบจัดการกับการประท้วงโดยเร็ว หากรัฐใดไม่ยอมดำเนินการ เขาจะส่งทหารเข้าไปแก้ปัญหาให้ ขณะที่ก่อนประธานาธิบดีสหรัฐจะออกมาแถลง กองกำลังพิทักษ์ชาติได้เข้าสลายการชุมนุมอย่างสงบในสวนสาธารณะใกล้ทำเนียบขาวออกไป
ส่วนสถานการณ์การประท้วงในเมืองต่างๆ ยังเต็มไปด้วยการใช้ความรุนแรงและการปล้นสะดมร้านค้า เกิดการปะทะกันระหว่างตำรวจและผู้ประท้วงในหลายเมือง มีรายงานว่า ผู้ประท้วงคนหนึ่งถูกยิงเสียชีวิตที่เมืองหลุยส์วิลล์ รัฐเคนทักกี ที่ย่านไทมส์สแควร์ในนครนิวยอร์ก ผู้ประท้วงหลายพันคนยืนประท้วงในช่วงเย็นก่อนถึงเวลาเคอร์ฟิว 23.00 น. จนถึง 05.00 น.
สำหรับผลการชันสูตรหาสาเหตุการเสียชีวิตของฟลอยด์อย่างอิสระโดยแพทย์สองคนนั้น ได้ผลออกมาว่าเกิดจากขาดอากาศหายใจ และไม่พบว่ามีอาการอื่นแทรกซ้อน ซึ่งขัดแย้งกับผลชันสูตรของทางการ การเสียชีวิตของฟลอยด์จึงเป็นผลจากการฆาตกรรม
ขณะเดียวกันเหตุประท้วงที่มีผู้คนจำนวนมากออกมารวมตัวกันบนถนนทำให้เกิดความกังวลว่า จะยิ่งทำให้การระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 รุนแรงขึ้นกว่าเดิม เพราะการเว้นระยะห่างระหว่างผู้ประท้วงทำได้ยาก ดังนั้น สิ่งสำคัญคือผู้ประท้วงต้องสวมหน้ากากปิดจมูกและปากตลอดเวลาเพื่อป้องกันตัวเอง.-สำนักข่าวไทย