ปธ.สภาพัฒน์ฯ มองไทยเสี่ยงถูกตอบโต้การค้าจากสหรัฐฯ

ชลบุรี 23 พ.ย.-ประธานสภาพัฒน์ฯ มองไทยเสี่ยงถูกตอบโต้ทางการค้าจากสหรัฐฯ หลัง “ทรัมป์” ชนะเลือกตั้ง คาดขึ้นภาษีก่อน เรียกเจรจารายประเทศ เศรษฐกิจจีนฟื้นตัวกดดันผลิต-ส่งออกไทยด้วย ชี้หนี้ครัวเรือน-SMEs ยังพุ่ง

ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “การสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจของไทย” ในการสัมมนา หอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 42 ที่จังหวัดชลบุรี โดยระบุว่าความมั่นคงของเศรษฐกิจไทย ต้องได้มาจากการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศและต้องจัดการกับ ความท้าทายที่เข้ามากระทบภายในประเทศ ประกอบด้วย 3 ข้อ คือ 1) ต้องบริหารความเสี่ยงจากความมั่นคงของประเทศที่สั่นคอนโดยเห็นได้จากสงครามระหว่างประเทศ 2) นโยบายของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ และ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างจีน-สหรัฐฯ ที่เสื่อมลงในช่วง 2-3 ปีหลังที่ผ่านมา ทั้งนี้ ยังมีปัญหาที่รอการแก้ไขของประเทศไทย 6 ปัญหาหลัก ได้แก่


1.หนี้ครัวเรือนและหนี้ SMEs ที่มีระดับสูง ทำให้กำลังซื้อในประเทศลดลง เพิ่มความเหลื่อมล้ำในประเทศ
2.ประชาชนไทย เข้าสู่สังคมสูงอายุทำให้ GDP มีแนวโน้มขยายตัวช้าลง 0.8-1% ต่อปี และขาดแคลนแรงงานมากเกิน ภาระในการดูแลผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น
3.คุณภาพของการศึกษาถดถอยลงมาโดยตลอด
4.ภาคเกษตรขาดประสิทธิภาพ ผลผลิตต่ำคิดเป็น 9% ของ GDP
5.ราคาพลังงานแพงกว่าประเทศคู่แข่ง และการพึ่งพาการนำเข้าแก๊สธรรมชาติและน้ำมันดิบเป็นสัดส่วนที่สูงถึง 9% ของ GDP ส่งผลให้ประเทศไทยจะเผชิญความเสี่ยงทางด้านภูมิรัฐศาสตร์
6.การขาดดุลงบประมาณ สัดส่วนการจัดเก็บภาษีลดลง 15% ของ GDP แต่รายได้ประจำเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ ยังประสบความไม่แน่นอนของสถานการณ์ทางการเมืองส่งผลต่อนโยบายทางเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงและความต่อเนื่องของการดำเนินนโยบาย

ทั้งนี้ ปัญหาใหม่ที่ประเทศไทยต้องประสบจาก 2 มหาอำนาจระหว่างจีน-สหรัฐฯ ในส่วนของประเทศจีน กำลังพลิกฟื้นเศรษฐกิจโดยการเร่งส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี ให้ความสำคัญกับการกระตุ้นกำลังซื้อภายในประเทศเป็นเรื่องรอง โดยมุ่งเน้นส่วนแบ่งตลาดการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีของทุกประเทศ ส่งผลให้กดดันกำลังการผลิตและการส่งออกสินค้าของประเทศไทยด้วย 


นโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะมีนโยบายและมาตรการกีดกันทางการค้าที่ชัดเจน ซึ่งประเทศไทยจะอยู่ในประเทศที่เกินดุลของสหรัฐฯ ถึง 40,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตลาดสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกที่ใหญ่ของประเทศไทย คิดเป็นมูลค่า 10% ของ GDP ซึ่ง ทรัมป์ มองว่าจากการที่ประเทศต่าง ๆ เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ เป็นการที่สหรัฐฯ ถูกเอาเปรียบ ถูกโกงจากประเทศต่าง ๆ โดยจะมีนโยบายการปรับภาษีนำเข้าจากประเทศเกินดุล 10-20% และจะเก็บภาษีนำเข้าจากประเทศจีนสูงถึง 60% รองลงมา คือสหภาพยุโรปเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ มากกว่า 2 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ 

โดย ประเทศไทย เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ เป็นอันดับที่ 12 และขึ้นบัญชีประเทศไทยแล้ว ทั้งนี้ สหรัฐฯ จะมีการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสูงถึง 10-20% และจะมีการเจรจากับประเทศต่าง ๆ เป็นกรณีไป นอกจากนี้ ประเทศไทย เก็บภาษีศุลกากรนำเข้าเฉลี่ยจากสหรัฐฯ ประมาณ 9.7% โดยจะถูกจับตามองเป็นพิเศษโดยเฉพาะสินค้าเกษตรของประเทศไทยที่เก็บภาษีผักผลไม้นำเข้าจากสหรัฐฯ สูงเป็นพิเศษ 20-30% อีกทั้ง ประเทศไทยได้มีการห้ามนำเข้าเนื้อหมู เนื้อวัว โดยอ้างถึงสารเนื้อแดง ทำให้สหรัฐฯ ตัดสิทธิ์ GSP ไทยเมื่อ 4 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ประเทศไทยเป็นเป้า จากนโยบายการเก็บภาษีสินค้านำเข้าของประธานาธิบดีสหรัฐฯ พร้อมกันนี้ นายสก็อตต์ เบสเซน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ ได้ให้สัมภาษณ์ว่านโยบายการเก็บภาษีศุลกากรจะสร้างอำนาจต่อรองของสหรัฐฯ กับนานาประเทศซึ่งจะสอดคล้องและส่งผลกระทบกับประเทศไทยโดยตรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

อีกทั้ง ความเสี่ยงที่จะการเกิดสงครามการค้าโดยรวมของทั่วโลกจะทำให้การค้าหดตัวลง โดยหากเกิดขึ้น จะกระทบกับประเทศไทย เนื่องจากพึ่งพาการส่งออกถึง 50% ของ GDP ซึ่งผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากนโยบายของสหรัฐฯ คือ ผลกระทบด้านความมั่นคงและด้านดอกเบี้ยกับประเทศไทย ในส่วนด้านความมั่นคงนั้น สหรัฐฯ ต้องการให้ประเทศพันธมิตรจ่ายเงินสนับสนุนการป้องกันประเทศของตนเองเพิ่มมากขึ้น เพื่อลดภาระทางทหารของสหรัฐฯ ตลอดจนนโยบายการเพิ่มภาษี และนโยบายการเนรเทศคนต่างด้าว 11 ล้านคน ของ ทรัมป์ จะทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น เงินเฟ้อลดลงช้า ดอกเบี้ยสูงขึ้น และนโยบายการลดภาษีนิติบุคคลและการลดภาษีคนรวยจะส่งผลให้ขาดดุลงบประมาณและดอกเบี้ยระยะยาวสูงขึ้น สิ่งเหล่านี้กระทบประเทศไทย ทั้งทางตรงและทางอ้อม


สำหรับ ปัญหาที่คั่งค้างของประเทศไทย ทั้งปัญหาหนี้สินครัวเรือนและหนี้สาธารณะในระดับสูง และข้อจำกัดของนโยบายการคลัง โดยแนวทางในการจะแก้ไขของประเทศไทย คือ ต้องทำให้ GDP ของประเทศเติบโตได้อย่างเร็ว ทั้งจากปัจจัยภายนอกประเทศที่ต้องพยายามป้องกันภัยคุกคามต่าง ๆ  และปัจจัยในประเทศ คือ ความพยายามในการจะเพิ่มประสิทธิภาพปัจจัยการผลิต โดยเฉพาะการนำเข้าพลังงานที่ควบคุมได้ยาก ซึ่งประเทศไทย ต้องเร่งลงทุนพลังงานแสงอาทิตย์ การลงทุนสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ตลอดจนการทำให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพร่างกาย ที่แข็งแรงและสามารถทำงานได้นานขึ้น หรือเสียชีวิตเร็วเพื่อลดภาระในการดูแล เป็นต้น

หากพิจารณาถึงกลยุทธ์ในการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจของไทยจากการจัดลำดับซอฟต์พาวเวอร์ของไทย พบว่า ประเทศไทยมีจุดแข็ง ได้แก่ ความคุ้นเคย ชื่อเสียง ธุรกิจและการค้า มรดกทางวัฒนธรรม ผู้คนและค่านิยมของคนไทย ในส่วนจุดอ่อน ได้แก่ การศึกษาและธรรมาภิบาล เป็นต้น พร้อมทั้งอาหารก็ถือเป็นจุดเด่นอีกหนึ่งอย่างของประเทศไทย ที่จะต้องพยายามสร้างประสบการณ์และเน้นการให้บริการที่มีมูลค่าสูง สำหรับภาคบริการ ทุกประเทศในโลกผ่านการพัฒนาเศรษฐกิจที่พึ่งพาภาคเกษตรกรรมและภาคอุตสาหกรรมเป็นหลักจะปรับเปลี่ยนมาเป็นการพึ่งพาภาคบริการที่มากยิ่งขึ้น เห็นได้จากมูลค่าภาคบริการ เช่น สหรัฐฯ คิดเป็น 70% ของ GDP ขณะที่ประเทศไทย คิดเป็น 58.5% ของ GDP และจีน คิดเป็น 54.6% ของ GDP เป็นต้น โดยภาคอุตสาหกรรม จะต้องหันมาพัฒนาในกลุ่มเฉพาะทางและมีความสามารถในการแข่งขัน เช่น อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ การผลิตเครื่องมือแพทย์ อาหารเชิงสุขภาพ บรรจุภัณฑ์ เครื่องสำอาง ผ้าไหม แฟชั่นเมืองร้อน ซึ่งต้องพัฒนาคุณภาพให้ตรงความต้องการของตลาดเพิ่มมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยจะต้องพึ่งพาจุดแข็งด้านซอฟต์พาวน์เวอร์ ด้วยการแปลงสิ่งที่เป็นนามธรรมให้เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น เพื่อสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจของไทยให้เติบโตและสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างยั่งยืน.-516.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ผบ.พล.7 ของเขมร โดนกระสุนปืนใหญ่ยิงดับ บนช่องตาเฒ่า-ภูมะเขือ

26 ก.ค. – พลตรีดวง ซอมเนียง ผบ.พล.7 ถูกกระสุนปืนใหญ่ยิงเสียชีวิต ที่ช่องตาเฒ่า-ภูมะเขือ จากการปะทะแย่งชิงพื้นที่ระหว่างทหารไทย-กัมพูชา ตลอดวันนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การปะทะระหว่างทหารไทย กับทหารกัมพูชา บริเวณภูมะเขือ และช่องตาเฒ่า ตั้งแต่เช้ามืดวันนี้ ทหารไทยสามารถปกป้องพื้นที่ภูมะเขือ และกดดันทหารกัมพูชาออกจากพื้นที่ได้สำเร็จ ในขณะที่ทหารกัมพูชา พยายามกลับเข้ามาโจมตีกลับ เพื่อยึดภูมะเขือ ส่งผลให้มีทหารกัมพูชาเสียชีวิตหลายนาย หนึ่งในนั้นคือ พลตรีดวง ซอมเนียง ผบ.พล.7 ถูกกระสุนปืนใหญ่ยิงเสียชีวิต ที่ช่องตาเฒ่า-ภูมะเขือ. – สำนักข่าวไทย

ทอ.ส่ง F-16 และ กริพเพน โจมตีสกัดอาวุธวิถีโค้งกัมพูชา

26 ก.ค.- กองทัพอากาศส่ง F-16 และ กริพเพน โจมตียุทธบริเวณ “ภูมะเขือ” สกัดอาวุธวิถีโค้งกัมพูชา อีกจุดปราสาทตาเมือนธม ผลปฏิบัติลุล่วงกลับฐานปฏิบัติด้วยความปลอดภัย เมื่อวันที่ 26 ก.ค.68 กองทัพอากาศ ส่งเครื่องบินขับไล่ F-16 จำนวน 2 ลำ และเครื่องบินกริพเพน จำนวน 2 ลำ ออกปฏิบัติการโจมตี พื้นที่ยุทธบริเวณเป้าหมายทหาร ของทางทหารกัมพูชาบริเวณภูมะเขือ หลังทหารกัมพูชาเตรียมใช้อาวุธวิธีโค้งยิงใส่ฝ่ายไทยหวังยึดภูมะเขือ ส่วนอีกจุดบริเวณปราสาทตาเหมือนธม โดยเป็นจุดที่ทางทหารกัมพูชาได้ตั้งปืนใหญ่และกำลังพลยิงข้ามมายังฝั่งประเทศไทยโดยไร้ทิศทาง ทั้งนี้ผลการปฏิบัติการ ทำลายเป้าหมายได้ทั้งสองจุด ลุล่วงไปด้วยดี และได้บินกลับฐานปฏิบัติด้วยความปลอดภัย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การขึ้นบินกริพเพนของกองทัพ ในภารกิจสู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ครั้งนี้ ถือเป็น ‘ประวัติศาสตร์’ ของเครื่องบินขับไล่กริพเพนที่มีประจำการในหลายประเทศ ที่ใช้ในภารกิจสู้รบ-ใช้อาวุธจริงครั้งแรก ที่ผ่านมา กริพเพน ถูกใช้เพียงภารกิจบินรักษาอาณาเขต เช่น บริเวณทะเลบอลติกในทวีปยุโรป ในฐานะสมาชิก ‘นาโต้’ ผ่านเหตุการณ์สู้รบ ‘ยูเครน-รัสเซีย’ และภารกิจเฝ้าตรวจ-คุ้มกันน่านฟ้า ประเทศลิเบีย ที่กองทัพอากาศสวีเดนเข้าร่วมภารกิจ -สำนักข่าวไทย

กริพเพน

ทอ. ส่ง F16 – กริพเพน ปฏิบัติการรอบ 2 ทิ้งบอมบ์พื้นที่ทางทหารเขมร

26 ก.ค. – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เครื่องบินขับไล่ F-16 จำนวน 2 ลำ และกริพเพน 2 ลำ ออกปฏิบัติการรอบสอง โจมตียุทธบริเวณทำลายพื้นที่ทหารกัมพูชา บริเวณปราสาทตาควาย อ.พนมดง จ.สุรินทร์ ภารกิจลุล่วง และกับฐานปฏิบัติโดยปลอดภัย สำหรับพื้นที่บริเวนนี้ ทหารไทยกับทหารกัมพูชา ปะทะกันดุเดือด โดยทหารไทยพยายามทำลายพื้นที่กัมพูชาวางกำลังไว้หลายระลอก ในขณะที่กัมพูชาโต้กลับและระดมกำลังทหารมาเพิ่มเติม ส่งผลให้พื้นที่บริเวนนี้มีการปะทะดุเดือดตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค.ถึงวันนี้. – สำนักข่าวไทย

เปิดภาพคลังอาวุธทหารเชมร “สมรภูมิภูมะเขือ”

26 ก.ค.- เปิดภาพคลังอาวุธทหารเชมร “สมรภูมิภูมะเขือ” ทหารไทยยึดอาวุธปืน-โดรน 11 รายการ พร้อมมือถือ 7 เครื่อง ใช้ถ่ายคลิปยั่วยุทหารไทย เมื่อวันที่ 26 ก.ค.68 รายงานข่าวจากกองทัพภาคที่ 2 ระบุว่า สำหรับปฏิบัติการ ของเจ้าที่ทหารกองทัพภาคที่ 2 บนภูมะเขือที่สามารถยึดกลับคืนมาได้ ทำให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 10 นาย พร้อมทั้งตรวจพบและสามารถยึดอาวุธ ยุทโธปกรณ์ จำนวน 11 รายการ ประกอบด้วย นอกจากนี้ยังพบโทรศัพท์มือถือ 7 เครื่อง ที่ทางทหารกัมพูชาชอบถ่ายในเวลาทำคลิปเมื่อเจอกับทหารไทยบริเวณแนวชายแดน -สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

ทบ.ออกแถลงการณ์กัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง

30 ก.ค.- กองทัพบกออกแถลงการณ์ กัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิงเป็นครั้งที่สอง บ่อนทำลายการคลี่คลายสถานการณ์ด้วยสันติวิธี ขอประณามการกระทำอันไม่รับผิดชอบ ย้ำจะดำเนินการอย่างเหมาะสม เด็ดขาด เพื่อปกป้องอธิปไตยไทย ตามที่รัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรกัมพูชาได้ตกลงร่วมกันในการประกาศหยุดยิง เพื่อยุติการปะทะทางทหารบริเวณแนวชายแดน โดยข้อตกลงดังกล่าวมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เวลา 24.00 นาฬิกา ของวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 นั้น กองทัพบกขอยืนยันว่า ฝ่ายไทยได้ปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าวอย่างเคร่งครัดมาโดยตลอด โดยได้ระงับการใช้กำลังทุกรูปแบบ และลดกิจกรรมทางทหารในพื้นที่ เพื่อเปิดโอกาสให้เกิดบรรยากาศแห่งสันติภาพ ความไว้เนื้อเชื่อใจ และความร่วมมือที่สร้างสรรค์ระหว่างทั้งสองประเทศ อย่างไรก็ตาม กองทัพบกได้รับรายงานจากหน่วยในพื้นที่ว่า ในวันที่ 29 – 30 กรกฎาคม 2568 กองทัพกัมพูชาได้กระทำการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงอีกครั้ง โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ การกระทำของกองทัพกัมพูชาในครั้งนี้ ถือเป็นการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงอย่างร้ายแรง นับเป็นครั้งที่สองภายหลังจากที่ข้อตกลงมีผลบังคับใช้ และสะท้อนถึงพฤติกรรมที่ไม่เคารพต่อพันธกรณีระหว่างประเทศ ตลอดจนเป็นการบ่อนทำลายความพยายามในการคลี่คลายสถานการณ์ด้วยสันติวิธี อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพและความไว้วางใจที่ควรมีระหว่างสองประเทศ กองทัพบกขอประณามการกระทำอันไม่รับผิดชอบของกองทัพกัมพูชาอย่างถึงที่สุด และขอแจ้งให้ทราบว่า ฝ่ายไทยจะยังคงดำรงตนอยู่บนหลักแห่งความอดกลั้น สันติภาพ และมนุษยธรรมอย่างสูงสุด อย่างไรก็ดี หากมีการละเมิดต่อเนื่อง กองทัพบกจะดำเนินการตามขั้นตอนที่เหมาะสมและจำเป็นอย่างเด็ดขาด เพื่อปกป้องอธิปไตยและความปลอดภัยของประชาชนไทยโดยไม่ละเว้น จึงเรียนมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน -สำนักข่าวไทย

กัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง เปิดแนวปะทะพื้นที่ “อานม้า-ภูมะเขือ”

30 ก.ค. – กัมพูชากลับกลอก ละเมิดข้อตกลงอีก เปิดแนวปะทะ 2 พื้นที่ “อานม้า และภูมะเขือ” ขณะที่ ทบ.เผยทหารกัมพูชาใช้ปืนเล็ก สลับระเบิดขว้าง เมื่อคืนนี้ (29 ก.ค.) กัมพูชาเปิดฉากยิงไทยก่อนอีกแล้ว ละเมิดข้อตกลงถึง 2 ครั้ง โดยเปิดแนวปะทะ 2 พื้นที่ที่ อานม้า และภูมะเขือ ทบ.เปิดเผยว่า ทหารกัมพูชาใช้ปืนเล็กสลับระเบิดขว้าง โดยเมื่อเวลา 20.45 น. แหล่งข่าวฝ่ายมั่นคงรายงานว่า ช่องอานม้า มีเหตุปะทะ กัมพูชาเปิดฉากยิง หวังยึดพื้นที่ ฝ่ายไทยตอบโต้ ขณะที่ช่วงเวลา 22.19 น. พ.อ.ริชฌา สุขสุวานนท์ รองโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบขั้นต้นเกิดเหตุปะทะที่ภูมะเขือ และช่องอานม้า โดยมีปืนเล็กกับระเบิดขว้างเข้ามาที่ฐานฝั่งไทย ประมาณ 30 นาที ขณะที่เพจกองทัพบก ทันกระแส โพสต์ไม่ต้องนอน ตามคาด! กัมพูชาละเมิดอีกแล้ว อานม้าปะทะภูมะเขือ […]

อุตุฯ เตือนเหนือ-อีสาน-กลาง-ตอ.ฝนตกหนัก กทม.ฟ้าคะนอง 70%

กรุงเทพฯ 30 ก.ค. – กรมอุตุฯ เผยภาคเหนือตอนบน ภาคอีสานเหนือตอนบน ภาคกลาง และภาคตะวันออก มีฝนตกหนักบางแห่ง โดยเฉพาะบริเวณ จ.เชียงราย พะเยา น่าน ตาก บึงกาฬ สกลนคร และนครพนม ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนัก ส่วน กทม.-ปริมณฑล ฝนฟ้าคะนอง 70% กรมอุตุนิยมวิทยาพยากรณ์อากาศ 24 ชั่วโมงข้างหน้า ภาคเหนือตอนบน ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ภาคกลาง และภาคตะวันออก มีฝนตกหนักบางแห่ง โดยเฉพาะบริเวณจังหวัดเชียงราย พะเยา น่าน ตาก บึงกาฬ สกลนคร และนครพนม ขอให้ประชาชนในบริเวณดังกล่าวระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก และน้ำล้นตลิ่ง โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่ม ทั้งนี้ เนื่องจากมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณประเทศเวียดนามตอนบน ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามันประเทศไทย และอ่าวไทย สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามันตอนบน และอ่าวไทยตอนบน มีกำลังปานกลาง โดยมีคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนอง คลื่นสูงมากกว่า […]

แนวป้องกันน้ำท่วมฝีมือทหารช่าง ลดความรุนแรงน้ำท่วม

เชียงราย 29 ก.ค. – น้ำจากลำน้ำสายที่ทะลักเข้าท่วมชุมชนชายแดนแม่สายที่เชียงรายลดลงแล้ว แต่ทิ้งเศษซากความเสียหายไว้จำนวนมากและทำให้ชาวแม่สายอย่างน้อย 500 ครัวเรือนได้รับความเดือดร้อน แต่ยังถือว่าไม่หนักหนาสาหัสเหมือนน้ำท่วมใหญ่เมื่อปีที่แล้ว ส่วนหนึ่งมาจากแนวป้องกันน้ำท่วมยาวเกือบ 4 กิโลเมตร จากฝีมือของทหารช่าง.-สำนักข่าวไทย