กระทรวงการคลัง 21 พ.ค. – คลังประเมินเศรษฐกิจไตรมาสสอง ปี 2563 มีโอกาสติดลบมากกว่าไตรมาสแรก ย้ำต้องประคับประคองภาคธุรกิจและประชาชนให้ผ่านพ้นวิกฤตให้ได้
นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) กล่าวถึงที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) มีมติ 4 ต่อ 3 เสียง ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 จาก ร้อยละ 0.75 เป็นร้อยละ 0.50 ว่า เป็นการดำเนินนโยบายการเงินที่สอดคล้องกับนโยบายการคลัง เนื่องจากขณะนี้เศรษฐกิจไม่สามารถขยายตัวได้ตามที่คาด การดำเนินนโยบายการเงินและการคลังจึงต้องสอดคล้องกัน
ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยเริ่มได้รับผลกระทบจากการสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ตั้งแต่ช่วงปลายไตรมาสแรกของปี 2563 หรือตั้งแต่วันที่ 18 มี.ค.ที่ผ่านมา ที่เริ่มล็อคดาวน์ ดังนั้นตัวเลขเศรษฐกิจ ไตรมาสแรกที่ออกมาจึงได้รับผลกระทบเล็กน้อย หรือติดลบไม่มาก โดยตัวเลขจะชัดเจนขึ้นในไตรมาสสองที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก ส่วนไตรมาสสามและสี่ คาดว่าจะดีขึ้น หากภาครัฐสามารถรับมือกับสถานการณ์โควิด-19 ได้ดีขึ้น ทำให้ธุรกิจสามารถกลับมาดำเนินธุรกิจได้ตามปกติ
ส่วนทิศทางการเติบโตทางศรษฐกิจของไทยนั้น จะสามารถฟื้นตัวอย่างรวดเร็วแบบ V-Shape หรือจะฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป แบบ U – Shape ยังเร็วไปที่จะตอบตอนนี้ สิ่งสำคัญ คือ ต้องประคับประคองภาคธุรกิจและประชาชนให้ผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปให้ได้ และให้ล้มน้อยที่สุด เมื่อเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัว ภาคธุรกิจและประชาชนจะพร้อมหนุนและเป็นฟันเฟืองให้
สำหรับข้อเรียกร้องของภาคเอกชนที่ต้องการให้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการออกมาตรการช้อปช่วยชาตินั้น กระทรวงการคลัง ขอชี้แจงว่า กระทรวงการคลังพร้อมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วนจะเป็นมาตรการแบบไหนนั้น มองว่า เร็วเกินไปที่จะบอกว่าจะใช้มาตรการใด เนื่องจากต้องคำนึงถึงจังหวะเวลาที่เหมาะสมด้วย . – สำนักข่าวไทย