แม่น้องเกด บุกดีเอสไอ ถามความคืบหน้าคดีลูกสาวเสียชีวิต

ดีเอสไอ 8 พ.ค.- “แม่น้องเกด” บุกดีเอสไอ ถามความคืบหน้าคดีลูกสาวตายจากการสลายการชุมนุมเมื่อปี 53  ตายจะครบ 10 ปีแล้ว แต่คดีไม่คืบ  ให้เวลา 7 วัน ไม่คืบบุกกองทัพและกลาโหม 


นางพะเยาว์ อัคฮาด  มารดาของ น.ส.กมลเกด อัคฮาด หรือ น้องเกด พยาบาลอาสา ที่ถูกยิงเสียชีวิตเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553  จากเหตุการณ์สลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง  พร้อมด้วยนายณัทพัช อัคฮาด น้องชายของ น.ส.กมลเกด และนายพันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ  แกนนำกลุ่มพลเมืองโต้กลับ   เดินทางมาที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อติดตามความคืบหน้าคดี น.ส.กมลเกด ถูกยิง  ภายในวัดปทุมวนารามฯ จนเสียชีวิต  ที่ไม่มีความคืบหน้ามากว่า 10 ปี  ซึ่งทางดีเอสไอ  ยังไม่มีการชี้แจงในหลายประเด็น ทำให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัย หลังอัยการพิเศษ  ส่งสำนวนมายังดีเอสไอ เพื่อสอบสวนเพิ่มเติม

นางพะเยาว์   และนายณัทพัช   ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องการร้องทุกข์กล่าวโทษในคดีการเสียชีวิตของ น.ส.กมนเกด จะครบรอบ 10 ปี   ในอีกไม่กี่วันนี้ ว่า ที่ผ่านมาอัยการพิเศษได้ชี้แจงว่าได้ส่งเรื่องมาทางดีเอสไอแล้ว ในฐานะตนเป็นผู้ถูกกระทำ  กระทั่งมีการร้องทุกข์เพิ่มเติมกับดีเอสไอ ซึ่งพวกตนขอเรียกร้องเกี่ยวกับผลสอบสวนสืบสวนคดี ภายใน 7 วัน  ก่อนที่คดีจะมีอายุครบ 10 ปี  ในวันที่ 19 พฤษภาคมนี้  


ด้านนายพันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ กล่าวว่า คดีเสียชีวิตจากการชุมนุมปี 53 ส่วนใหญ่มีไม่ถึง 80%  ในการสอบสวนการตาย แต่ดีเอสไอ  กลับไม่มีการเรียกมาสอบสวนหรือสืบสวนใด ๆ  จึงไม่มีความคืบหน้า  และบางส่วนกลับพาไปขึ้นศาลทหาร ซึ่งไม่ถูกต้อง  จึงต้องการความชัดเจนต่อมาตรการบริหารคดีความของดีเอสไอ   และหลักฐานเดิมมีการระบุชัดเจนอยู่แล้ว คงไม่จำเป็นต้องหาหลักฐานใหม่เพิ่มเติม  ซึ่งเจตนาชัดเจน  ดำเนินการในภาพรวมได้อยู่แล้ว 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางพะเยาว์  ได้เข้ายื่นหนังสือร้องทุกข์ผ่าน พ.ต.อ.อัครพล  บุณโยปัษฎัมภ์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษใน ฐานะโฆษก และ พ.ต.ต.วรนันท์ ศรีล้ำ ผู้เชี่ยวชาญคดีพิเศษ  ในฐานะรองโฆษกฯ 

พ.ต.อ.อัครพล  กล่าวว่า ดีเอสไอ ยืนบนพื้นฐานข้อกฎหมายโดยตลอด ขอความเข้าใจบางเรื่อง บางกรณี  อาจไปเกี่ยวข้องกับศาล  ทั้งศาลพลเรือนและศาลทหาร    ดีเอสไอรับเป็นคดีตั้งแต่ปี 61  ข้อสงสัยทำไมถึงต้องส่งศาลทหาร  เนื่องจากผู้ถูกกล่าวหาเป็นคนที่อยู่ขอบเขตในอำนาจศาลทหาร   เมื่อส่งศาลทหารจะมีธรรมนูญของศาลที่จะมีการพิจารณาที่แตกต่างกับอัยการคดีพิเศษ  เพราะเป็นคำสั่งของหัวหน้าอัยการทหาร  ในเรื่องการยกคำร้อง  ทางดีเอสไอไม่มีอำนาจในการคัดค้าน  แต่พร้อมทำในช่องทางที่สามารถทำได้   หากมีหลักฐานใหม่  สามารถพิจารณาเพิ่มเติมได้ ตราบใดที่ยังไม่หมดอายุความ  ในส่วนของหนังสือที่มายื่น  ทางดีเอสไอจะดูและจะดำเนินการชี้แจงภายใน 7 วัน  ตามที่ร้องขอต่อไป


อย่างไรก็ตาม นางพะเยาว์ ยังกล่าวว่า จะขอพูดคุยกันก่อน  และยืนยันจะเดินหน้าสู้เรื่องคดีความต่อไป พร้อมระบุว่า หากยังไม่คืบหน้าอาจจะมีการเคลื่อนไหวไปสอบถามเรื่องกับกองทัพหรือกระทรวงกลาโหมต่อไป.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

สำนักสงฆ์หูตาทิพย์

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์”

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์” พระอ้างใช้สอนวิปัสสนากรรมฐาน เบื้องต้นอายัดไว้พิสูจน์ดีเอ็นเอ พร้อมเอาผิดหัวหน้าสำนักสงฆ์ ฐานนำศพเก็บไว้ในสถานที่ที่ไม่ใช่สุสานและฌาปนสถาน

“สนธิ” ยื่นถอด “ตั้ม-เดชา” ออกจากทนาย

“สนธิ ลิ้มทองกุล” หอบหลักฐานบุกสภาทนายความ ถอดทนายตั้ม-ทนายเดชา ออกจากทนาย ระบุ ได้รับมอบอำนาจจาก “มาดามอ้อย” แล้ว เดินหน้าเอาผิด ทนายตั้มแบบสุดซอย ไม่ให้มีคนตกเป็นเหยื่อผู้รู้กฎหมายอีก

รัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มยูเครน

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย แถลงยืนยันว่ารัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มภาคตะวันออกยูเครนเมื่อวานนี้ ตอบโต้ที่ยูเครนใช้ขีปนาวุธที่ได้รับมอบจากสหรัฐและอังกฤษ

ข่าวแนะนำ

โค้งสุดท้าย ศึกสองนารีชิงเก้าอี้ นายก อบจ.นครฯ

เหลือไม่ถึง 2 วันแล้ว ที่ชาวนครศรีธรรมราชจะได้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งนายก อบจ.นครฯ ศึกนี้เป็นการสู้กันเองของพรรคร่วมรัฐบาล ฝ่ายหนึ่งต้องการรักษาฐานที่มั่นไว้ให้ได้ อีกฝ่ายต้องการเจาะฐานให้แตก เพื่อหวังครองที่นั่งการเมืองระดับชาติในสมัยหน้า

ร้อนระอุโค้งสุดท้าย ศึกชิงเก้าอี้ นายก อบจ.อุดรธานี

การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ครั้งนี้ดุเดือดเกินคาด ผู้สมัครจาก 2 พรรคใหญ่ลงชิงชัย ต่างเร่งเครื่องเต็มที่ในโค้งสุดท้าย การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 24 พ.ย.นี้ ใครจะเป็นผู้คว้าชัยชนะและสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญให้จังหวัดอุดรธานี ไปติดตามจากรายงาน

ความเห็นนักวิชาการ คดีทักษิณ

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับคำร้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและพรรคเพื่อไทย ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง ขณะที่นักวิชาการชี้ว่าไม่ได้พลิกไปจากความคาดหมาย และผลจากคดีนี้ ไม่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนทางการเมือง แต่ก็ยังมีจุดเสี่ยงที่ต้องระวัง