กระทรวงการคลัง 27 ก.พ.-กระทรวงการคลังเผยเศรษฐกิจไทยเดือนมกราคม 2563
มีสัญญาณที่ดีขึ้นจากภาคการส่งออกสินค้าและการบริโภคภาคเอกชนหมวดสินค้าคงทน แต่การลงทุนภาคเอกชน
การผลิตภาคอุตสาหกรรมและภาคเกษตรกรรมมีสัญญาณชะลอตัว
นายวุฒิพงศ์ จิตตั้งสกุล รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะรองโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
เปิดเผยรายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนมกราคม 2563 พบว่า เศรษฐกิจไทยมีสัญญาณที่ดีขึ้นจากภาคการส่งออกสินค้า
การบริโภคภาคเอกชนในหมวดสินค้าคงทน
โดยเฉพาะปริมาณการจำหน่ายรถยนต์นั่งและยอดรถจักรยานยนต์ โดยยอดจำหน่ายรถยนต์นั่งกลับมาขยายตัวเป็นบวกในรอบ
6 เดือนที่ร้อยละ 0.4 ต่อปี สอดคล้องกับปริมาณรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ที่ปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ติดลบร้อยละ
2.0 ต่อปี จากเดือนก่อนที่หดตัวร้อยละ 17.3 ต่อปี อย่างไรก็ดี
การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่
ที่จัดเก็บบนฐานการใช้จ่ายในประเทศขยายตัวเล็กน้อยที่ร้อยละ 0.4 ต่อปี ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ
54.9 เป็นผลมาจากความกังวลต่อการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด-19ที่ส่งผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยว
รวมถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่จะส่งผลกระทบการส่งออก
อย่างไรก็ดี ภาคเกษตรกรรมและภาคอุตสาหกรรมส่งสัญญาณชะลอตัว ขณะที่ภาคการเกษตร สะท้อนจากดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรชะลอตัวร้อยละ
2.2 ต่อปี จากการลดลงของผลผลิตในหมวดพืชผลเป็นสำคัญ
สอดคล้องกับภาคอุตสาหกรรมที่สะท้อนจากดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมชะลอตัวร้อยละ 4.6
ต่อปี จากการลดลงของการผลิตในหมวดยานยนต์ และเฟอร์นิเจอร์ ส่วน
ผลผลิตอุตสาหกรรมที่ยังคงขยายตัว ได้แก่ แอร์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่รดับ 92.2
ตามการเพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมที่ผลิตเกี่ยวกับสินค้าในกลุ่มผลิตภัณฑ์ยาง
เครื่องมือแพทย์ ยา และเคมีเพื่อการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อ น
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอยู่ที่ร้อยละ 1.1 ต่อปี
และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 0.5 ต่อปี สัดส่วนหนี้สาธารณะ ณ
สิ้นเดือนธันวาคม 2562 อยู่ที่ร้อยละ 41.2 ต่อ GDP ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่ตั้งไว้ตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ
พ.ศ. 2561 ส่วนเสถียรภาพภายนอกยังอยู่ในระดับมั่นคง
และสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้
สะท้อนจากทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนมกราคม 2563 อยู่ในระดับสูงที่ 230,300
ล้านดอลลาร์สหรัฐ-สำนักข่าวไทย