กรุงเทพฯ 9 ก.ย. – รองนายกรัฐมนตรีมอบนโยบาย สทนช. ย้ำตั้งวอร์รูมติดตามสถานการณ์น้ำ พร้อมจัดทำแก้มลิงทั่วประเทศ กักเก็บน้ำบรรเทาผลกระทบน้ำท่วม-น้ำแล้ง
พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) จะต้องมีการตั้งวอร์รูม หรือศูนย์อำนวยการน้ำเฉพาะกิจ เพื่อให้ทุกพื้นที่รายงานสถานการณ์น้ำมาที่ สทนช. รวมทั้งจัดทำแก้มลิงเก็บน้ำในฤดูน้ำหลาก เพื่อใช้ในฤดูแล้ง โดยจะต้องมีการจัดทำแก้มลิงทั่วประเทศ
ทั้งนี้ ในที่ประชุมพลเอกประวิตร กล่าวมอบนโยบายการดำเนินงาน สทนช. 7 ด้าน ได้แก่ 1.ปฏิบัติหน้าที่ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) และฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการลุ่มน้ำ ครอบคลุม 22 ลุ่มน้ำทั่วประเทศ (ใหม่) ผ่านสำนักงานทรัพยากรน้ำภาค 1 – 4 2.ขับเคลื่อนแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี ไปสู่แผนแม่บทลุ่มน้ำและแผนการปฏิบัติในระดับลุ่มน้ำ 3.ติดตามและประเมินผลแผนงาน โครงการ และงบประมาณ การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำจากหน่วยงานปฏิบัติด้านน้ำทั้งจากส่วนกลางและส่วนท้องถิ่น ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนมากกว่า 40 หน่วยงาน 4.อำนวยการ กำกับ ขับเคลื่อนโครงการสำคัญระดับชาติ หรือโครงการเร่งด่วนที่ต้องมีการประสานงานกับหลายหน่วยงาน
5.กำกับ ดูแล การบริหารจัดการระบบสารสนเทศทรัพยากรน้ำทั้งในภาวะปกติและภาวะวิกฤติ ตลอดจนการจัดตั้งศูนย์บัญชาการเฉพาะกิจ 6.ส่งเสริม สนับสนุนให้ภาคเอกชน ประชาชน และชุมชน เข้ามามีส่วนร่วมในการใช้ พัฒนา บริหารจัดการ บำรุงรักษา ฟื้นฟู อนุรักษ์ และการดำเนินการใด ๆ เกี่ยวกับทรัพยากรน้ำ และ 7.ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานภายในและต่างประเทศ เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และองค์ความรู้เกี่ยวกับทรัพยากรน้ำ มาใช้ในการพัฒนาและบริหารทรัพยากรน้ำ การดำเนินการตามภารกิจหน้าที่ที่ได้กล่าวมาให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างมีประสิทธิภาพ ขอให้ผู้บริหาร ข้าราชการ และบุคลากรของ สทนช.น้อมนำ “หลักราชการ” ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นหลักคุณธรรมและจริยธรรมในวิชาชีพช้าราชการที่สำคัญยิ่งมาเป็นที่พึ่ง โดยยึดถือเป็นแนวทางปฏิบัติ 10 ประการ
พลเอกประวิตร มีความห่วงใยสถานการณ์น้ำท่วมหลายพื้นที่ของประเทศ โดยได้ลงพื้นที่ไปติดตามสถานการณ์น้ำที่จังหวัดขอนแก่นเมื่อวันที่ 7 กันยายนที่ผ่านมา และได้กำชับให้ สทนช.เร่งแก้ไขปัญหาน้ำท่วมหลายพื้นที่จากอิทธิพลพายุโพดุลและคาจิกิ โดยขอให้บูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง วางแผนระบายน้ำ แจ้งเตือนพื้นที่ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบล่วงหน้า ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปรับปรุงและซ่อมแซมอาคารบังคับน้ำที่มีอยู่ให้สามารถใช้การได้ตามปกติตลอดจนใช้อาคารบังคับน้ำที่มีอยู่ บริหารจัดการน้ำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เช่น จัดจราจรน้ำ หน่วงน้ำ ผันน้ำเพื่อเลี่ยงพื้นที่เศรษฐกิจและพื้นที่ชุมชน นอกจากนั้นให้พิจารณาใช้พื้นที่ลุ่มต่ำ แก้มลิง และพื้นที่เกษตรที่เก็บเกี่ยวแล้วเป็นพื้นที่รับน้ำ หน่วงน้ำ เพื่อลดผลกระทบต่อพื้นที่ด้านล่าง
สำหรับมาตรการการเตรียมความพร้อมรับมือฤดูฝนและฤดูแล้งปี 2562/2563 คือ 1. มอบกรมชลประทาน กรมทรัพยากรน้ำ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) สถาบันสารสนเทศน้ำเพื่อการเกษตร (องค์การมหาชน) ตรวจสอบสภาพเขื่อน ฝาย อาคารชลประทาน ฯลฯ ระบบการระบายน้ำ สถานีโทรมาตร เพื่อติดตามเฝ้าระวัง 2. มอบกรมฝนหลวงและการบินเกษตร จัดทำฝนหลวง เพื่อเร่งเก็บกักน้ำไว้สำหรับการใช้น้ำในฤดูแล้งถัดไป และให้มีการตั้งศูนย์อำนวยการน้ำเฉพาะกิจ โดย สทนช. เพื่อบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูแล้งปีถัดไปด้วย 3. มอบหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สำรวจแหล่งน้ำที่ผ่านมาปี 2561 มีปริมาณน้ำอยู่ในเกณฑ์วิกฤติ (เพื่อดำเนินการเชิงป้องกันความเสี่ยงอุทกภัย) พื้นที่เสี่ยงอุทกภัย จัดทำแผนการบริหารจัดการน้ำหลาก สำหรับเตรียมการบริหารจัดการน้ำในช่วงฤดูฝนนี้และแผนการป้องกัน รับมือ และเผชิญเหตุอุทกภัย 4. มอบทุกหน่วยประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้กับประชาชนถึงแนวทางการบริหารจัดการน้ำ สภาพอากาศ สถานการณ์น้ำ และการแจ้งเตือนล่วงหน้าพร้อมแนวทางการปฏิบัติ
5. เร่งรัดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตรวจสอบสิ่งกีดขวางทางน้ำ ที่อยู่ในความรับผิดชอบ และปรับปรุงแก้ไขเพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการระบายน้ำให้เสร็จโดยด่วน 6. มอบหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสำรวจแม่น้ำ คูคลอง และดำเนินการขุดลอกผักตบชวา ตลอดจนขยะ เพื่อมิให้เป็นอุปสรรคกีดขวางการระบายน้ำ ในช่วงฤดูน้ำหลาก 7. การปรับแผนการปลูกพืชให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่และ ปริมาณน้ำต้นทุน (กรมส่งเสริมการเกษตร) 8. การสนับสนุนทางการคลัง โดยการลดดอกเบี้ยเงินกู้ การเช่าพื้นที่รับน้ำหลาก และการชดได้นะเชยกรณีได้รับความเสียหายจากน้ำ (หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง)
ส่วนแผนงานระยะยาว มอบหมายให้ สทนช.เร่งแก้ไขปัญหาเชิงพื้นที่อย่างเป็นระบบ (Area Based) ใน 66 พื้นที่ ซึ่งเป็นพื้นที่ประสบปัญหาน้ำท่วมและภัยแล้งเป็นประจำ โดยเร่งรัดขับเคลื่อนโครงการแก้ไขปัญหา แผนงานโครงการสำคัญในพื้นที่ดังกล่าว เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปดำเนินการต่อไป
สำหรับการขับเคลื่อนแผนแม่บทการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 20 ปี ไปสู่แผนแม่บทลุ่มน้ำและแผนการปฏิบัติในระดับลุ่มน้ำ ขอให้ สทนช. เร่งดำเนินการจัดทำแผนแม่บทลุ่มน้ำและแผนการปฏิบัติในระดับลุ่มน้ำให้แล้วเสร็จ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนในระดับพื้นที่อย่างแท้จริง ส่วนการติดตามและประเมินผลแผนงาน โครงการ และงบประมาณในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำจากหน่วยงานปฏิบัติด้านน้ำทั้งจากส่วนกลางและส่วนท้องถิ่น ที่ปัจจุบันมีจำนวนมากกว่า 40 หน่วยงาน มอบให้ สทนช. เน้นการจัดลำดับความสำคัญของแผนงาน/โครงการที่พร้อมสามารถดำเนินการได้ก่อน เพื่อเสนอคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) พิจารณา และเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบต่อไป
นอกจากนี้ พลเอกประวิตร ยังได้ตอบคำถามของผู้สื่อข่าว โดยยืนยันว่าวันที่ 18 กันยายนนี้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะไปชี้แจงเรื่องการถวายสัตย์ปฏิญาณที่รัฐสภาแน่นอน พร้อมยืนยันไม่หนักใจและไม่มีการตั้งองครักษ์ขึ้นมาพิทักษ์นายกรัฐมนตรีต่อการอภิปรายของฝ่ายค้าน.-สำนักข่าวไทย