ยุโรปขานรับสินค้าประมงหลังไทยได้ใบเขียว

เบลเยี่ยม 10 ม.ค. –  รองนายกรัฐมนตรียืนยันผู้นำเข้ายุโรปเชื่อมั่นสินค้าประมงไทย มั่นใจส่งผลดีต่อภาพลักษณ์การทำประมงไทยปลอดไอยูยูและการค้ามนุษย์  คาดสะท้อนต่อการนำเข้าที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต


พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ  รองนายกรัฐมนตรี  เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมผู้นำเข้าสินค้าประมงไทยในทวีปยุโรปที่กรุงบรัสเซลล์ ประเทศเบลเยี่ยม  โดยมีสมาคมผู้นำเข้าสินค้าประมงสหภาพยุโรป (อียู) รายใหญ่เข้าร่วมงาน อาทิ บริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร ประจำสหราชอาณาจักร สมาคมการค้าที่สนับสนุนการค้าอย่างยั่งยืน (AMFORI)  ว่า แม้ในช่วงที่มาประเทศไทยจะมีปัญหาความเชื่อมั่นในการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม และปัญหาการค้ามนุษย์ หรือไอยูยู แต่ต้องถือว่าผู้นำเข้าในกลุ่มประเทศยุโรปยังคงให้ความเชื่อมั่นสินค้าประมงของไทยตลอด  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Seafood Task Force ช่วยสนับสนุนทั้งด้านเงินทุน ผู้เชี่ยวชาญ ตลอดจนข้อแนะนำในการดำเนินการต่าง ๆ ทำให้ประเทศไทยประสบความสำเร็จในการที่แก้ไขปัญหาในระยะเวลาอันสั้น  เป็นที่ทราบกันทั่วโลกปัญหาประมงใช้เวลาไม่น้อยกว่า 10 ปี โดยสิ่งที่รัฐบาลไทยวางรากฐานแก้ไขปัญหาการทำประมงของประเทศ เพื่อมุ่งไปสู่การประมงอย่างยั่งยืนไว้ได้อย่างสมบูรณ์ทั้งด้านกรอบกฎหมาย ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญในการปฏิรูปการประมงของประเทศไทยให้เป็นที่ยอมรับ 

พล.อ.ฉัตรชัย กล่าวว่า พระราชกำหนดการประมง 2558 และพระราชกำหนดเรือไทย 2561 เป็นกฎหมายที่สอดคล้องกับอนุสัญญาข้อตกลงสากล  ไม่ว่าจะอยู่ภายใต้ UN หรือ FAO ที่จุดมุ่งหมายให้มีการทำการประมงอย่างยั่งยืน และมีความรับผิดชอบ  ด้านการบริหารจัดการทรัพยากรประมงและกองเรือประมง ประเด็นที่เคยกังวลและตั้งคำถามเสมอว่าการประมงของประเทศไทยอยู่ในสภาวะที่ Over fishing หรือไม่ ภายใต้ความสามารถควบคุมกองเรือประมงที่ทำการประมงได้อย่างชัดเจนและมีประสิทธิภาพ ตลอดจนมีการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง  ขอให้มั่นใจได้ว่าสภาวะการประมงของประเทศไทยในวันนี้ไม่อยู่ในภาวะนั้นแน่นอน  วันนี้ทรัพยากรสัตว์น้ำของไทยจะดีขึ้นทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ และมีการจัดสรรทรัพยากรสัตว์น้ำอย่างเป็นธรรมให้แก่ชาวประมงทั้งพื้นบ้านและพาณิชย์ นอกจากนี้ ประเทศไทยให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการพัฒนาการประมงอย่างยั่งยืนผ่านโครงการปรับปรุงการทำการประมง หรือ Fisheries Improvement Project : FIP ซึ่งขณะนี้มีการพัฒนาหลายพื้นที่และหลายกลุ่มสัตว์น้ำ  


ส่วนชาวประมงพื้นบ้านเป็นสิ่งที่รัฐบาลให้ความสำคัญอย่างยิ่ง โดยการสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนประมงชายฝั่ง และส่งเสริมให้เกิดการทำประมงภายใต้ “มาตรฐาน Blue Band” ซึ่งเป็นมาตรฐานที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อการทำการประมงที่ยั่งยืนของชาวประมงพื้นบ้าน ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญของประเทศไทยในอนาคต วันนี้ประเทศไทยมีระบบติดตาม ควบคุม และเฝ้าระวัง (MCS) ที่มีประสิทธิภาพทั้งการควบคุมเรือไทยและเรือต่างชาติให้เป็นไปตามกฎหมายภายในที่เกี่ยวข้อง และมาตรการ PSMA  ภายใต้การทำงานของศูนย์ปฏิบัติการเฝ้าระวังการทำการประมง (FMC) ซึ่งทำงานเชื่อมโยงกับศูนย์ควบคุมการแจ้งเข้า-ออกเรือประมง (PIPO) ใน 22 จังหวัดชายทะเลของไทย และด่านตรวจสัตว์น้ำ 

สำหรับสิ่งที่ผู้นำเข้าให้ความสำคัญอย่างยิ่ง คือ ด้านการตรวจสอบย้อนกลับ ซึ่งเป็นจุดสำคัญที่สุดที่จะทำให้มั่นใจได้ว่าสินค้าและผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำของไทยปราศจากการทำการประมงไอยูยู  ซึ่งสามารถยืนยันได้อย่างมั่นใจว่าวันนี้ระบบตรวจสอบย้อนกลับจนสามารถป้องกันสัตว์น้ำและสินค้าประมงผิดกฎหมายเข้ามาในสายการผลิตของไทย ไม่ว่าวัตถุดิบที่นำเข้าสู่การผลิตจะเป็นวัตถุดิบในประเทศหรือนำเข้าจากต่างประเทศทุกช่องทาง และประเทศไทยจะดำเนินการพัฒนาเรื่องนี้ไปอย่างต่อเนื่อง นำพาประเทศไทยไปสู่การเป็น IUU-free Thailand เพื่อให้ผู้บริโภคได้มั่นใจว่าสัตว์น้ำที่นำเข้าและส่งออกจากไทย จะไม่ได้มาจากการทำประมงไอยูยู ด้านแรงงานภาคประมงทะเล เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ดำเนินการควบคู่กัน เพื่อให้มั่นใจว่าการใช้แรงงานภาคประมงทะเลและอุตสาหกรรมต่อเนื่องอยู่ภายใต้หลักมนุษยธรรมและความรับผิดชอบ ซึ่งผลจากการดำเนินการที่ผ่านมาทำให้การรับอนุสัญญา ILO  C188  เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ เพราะหลักการที่สำคัญได้มีการดำเนินการอยู่แล้วอย่างครบถ้วน และคาดว่าปีนี้ประเทศไทยจะมีการยื่นสัตยาบันอนุสัญญาฉบับดังกล่าว

“ความสำเร็จที่เกิดขึ้นวันนี้ถือเป็นส่วนสำคัญที่จะส่งผลที่ดีต่อภาพลักษณ์การทำการประมงของไทยให้พ้นจากข้อกล่าวหาการทำประมงที่ผิดกฎหมาย หรือไอยูยู หรือแม้กระทั่งการค้ามนุษย์ให้เป็นที่ประจักษ์กับสายตาชาวโลก โดยเฉพาะการสร้างความมั่นใจต่อผู้นำเข้าและผู้บริโภคที่จะเลือกซื้อสินค้าประมงของไทยในอนาคต  ซึ่งประเทศไทยจะไม่หยุดเพียงแค่นี้ เพราะเป้าหมายที่แท้จริง คือ การส่งเสริมความยั่งยืนทางทะเลในทุกระดับ และมุ่งเน้นสร้างบทบาทการสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อสร้างเครือข่ายพันธมิตรในการผลักดันไปสู่เป้าหมายของ SDG โดยการแบ่งปันประสบการณ์และสร้างกลไกความร่วมมือร่วมกัน เพราะความยั่งยืนทางทะเลไม่ได้หมายถึงเพียงเรื่องการประมงอย่างยั่งยืนเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมไปถึงเรื่องการรักษาสิ่งแวดล้อมทางทะเล ซึ่งประเทศไทยในฐานะผู้ผลิตและส่งออกอาหารทะเลรายใหญ่อันดับ 4 ของโลก พร้อมที่จะร่วมรับผิดชอบกับประชาคมโลกในการรักษาทรัพยากรทางทะเล และการทำประมงอย่างรับผิดชอบ และยืนยันว่าสินค้าประมงจากไทยจะเป็นสินค้าที่มาจากการทำประมงที่ถูกกฎหมาย สนับสนุนความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรสัตว์น้ำ และมาจากแรงงานที่ได้รับการคุ้มครองตามหลักสิทธิมนุษยชน และไทยพร้อมเดินหน้าทำงานร่วมกับทุกประเทศในโลกนี้ เพื่อร่วมกันกำจัดปัญหาการทำประมงไอยูยูและปัญหาการค้ามนุษย์ ในภาคประมงให้หมดสิ้นไป และนำไปสู่การประมงของประเทศและโลกไปสู่ความยั่งยืนเพื่อความมั่นคงทางอาหารให้แก่ประชากรของโลกต่อไปด้วย” พล.อ.ฉัตรชัย กล่าว.-สำนักข่าวไทย


ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ข่าวแนะนำ

อัญเชิญเรือพระที่นั่งกลับพิพิธภัณฑ์

หลังสร้างความตราตรึงให้กับชาวไทยและคนทั้งโลก กับความงดงามของขบวนพยุหยาตราทางชลมารค กองทัพเรือ และกรมศิลปากร เริ่มอัญเชิญเรือพระที่นั่ง และเรือพระราชพิธี กลับเข้าสู่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเรือพระราชพิธี ซึ่งแต่ละขั้นตอนต้องใช้ความละเอียด รอบคอบ เพราะเรือทุกลำถือเป็นสมบัติล้ำค่าของแผ่นดิน

ย้อนรอยเส้นทางชีวิต “บิ๊กโจ๊ก”

เป็นเวลากว่า 6 เดือนแล้วที่เส้นทางตำรวจของ “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล ต้องยุติลง หลังถูกให้ออกจากราชการไว้ก่อน กรณีพัวพันเว็บพนันออนไลน์ จากนี้ชะตาชีวิต “บิ๊กโจ๊ก” ขึ้นอยู่กับ ป.ป.ช. ว่าจะได้กลับมาสวมชุดตำรวจอีกหรือไม่

“ปานเทพ” เปิดหลักฐานสัญญาชัด 71 ล้านเป็นชื่อ “มาดามอ้อย”

“อ.ปานเทพ” เปิดหลักฐานหนังสือสัญญาบอกชัด 71 ล้านบาท เป็นชื่อ “มาดามอ้อย” เปิด 3 รายชื่อให้เร่งตรวจสอบ หวั่นโยกย้ายทรัพย์สิน