กรุงเทพฯ 29 ธ.ค.- ผบช.น.เผยใกล้มีข่าวดีเร็วๆ นี้ หลังตำรวจได้เบาะแสคนร้ายบุกเดียวชิงเงินแบงค์ทหารไทย สาขาถนนพัฒนาการ พร้อมตั้งข้อสังเกตุทำไมคนร้ายได้เงินไปง่ายทั้งที่ไม่มีอาวุธ
พลตำรวจโทสุทธิพงษ์ วงษ์ปิ่น ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล กล่าวถึงความคืบหน้าเหตุคนร้ายชิงทรัพย์ ธนาคารทหารไทย สาขาถนนพัฒนาการ ในพื้นที่ สน.คลองตัน ช่วงบ่ายวานนี้ โดยคนร้ายได้เงินสดไปประมาณกว่า 1 แสนบาท ว่าขณะนี้มีความคืบหน้าไปมากแล้ว ล่าสุดชุดสืบสวนสอบสวนได้ไล่ภาพจากกล้องวงจรปิดตามเส้นทางที่คนร้ายหลบหนี แต่ยังไม่สามารถระบุชื่อผู้ก่อเหตุได้ ต้องขอเวลาให้เจ้าหน้าที่ได้ทำงานเพื่อประมวลข้อมูลทั้งหมดนำมาวิเคราะห์อีกครั้ง //แต่จากข้อมูลและภาพวงจรปิดภายในธนาคารพบว่าคนร้ายก่อเหตุเพียงคนเดียว จึงไม่สามารถยืนยันได้ว่าคนร้ายเป็นมืออาชีพหรือมือสมัครเล่น //ทั้งนี้ในการสืบสวนยังได้ ตั้งข้อสังเกตุเหตุใดคนร้ายจึงได้เงินไปอย่างง่ายดาย ทั้งที่คนร้ายไม่มีอาวุธหรือวัตถุระเบิดตามที่ข่มขู่พนักงาน ซึ่งตำรวจได้สอบปากคำพนักงานธนาคารที่อยู่ในเหตุการณ์ไปบางส่วนแล้ว แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ เพราะอยู่ระหว่างประมวลวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อนำไปใช้เป็นแนวทางสืบสวนต่อไป
ส่วนคนร้ายจะหลบหนีอยู่ในกรุงเทพฯหรือไม่นั้น ยังไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวได้ ต้องขอเวลาให้ตำรวจทำงานก่อน เชื่อว่าจะได้รับข่าวดีในเร็วนี้
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นบ่ายวานนี้ (28 ธ.ค.) มีคนร้ายเป็นชาย อายุประมาณ35-40ปี รูปร่างสูงใหญ่ประมาณ170-180ซม. ใส่หมวกกันน็อกสีขาว เสื้อผ้าร่มสีกรมท่าแขนยาว กางเกงยีนส์ขายาว ขี่จยย.ฮอนด้า เวฟ 125 สีน้ำเงิน -เทา ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน มาจอดใกล้ ๆ กับธนาคารทหารไทย ใกล้กับซอยพัมนาการ 48 แล้วเดินเข้าไปในธนาคาร ก่อนเปิดหมวกออกมาครึ่งหน้า เดินเข้าไปที่เคาน์เตอร์1ของธนาคาร พูดข่มขู่ให้ส่งเงินมาพร้อมยื่นถุงพลาสติกให้ใส่เงิน แล้วทำท่าว่ามีระเบิดกับปืนอยู่ในตัว แต่พนักงานไม่ให้จึงหันไปหาเคาน์เตอร์ที่2 พนักงานก็ตกใจ จึงเดินไปที่พนักงานเคาน์เตอร์3ซึ่งพึ่งมาทำงานใหม่ ทางคนร้ายได้ข่มขู่ให้ส่งเงินมาเพราะมีระเบิดและปืน ทางพนักงานจึงหันไปมองทางผู้จัดการที่ตัดสินใจยอมให้เงินไป เพราะกลัวว่าคนร้ายจะมีระเบิดจริง อีกทั้งคนร้ายยังพยายามปีนข้ามเคาน์เตอร์มา จึงยอมเอาเงินใส่ถุงพลาสติกให้ไป จากนั้นคนร้ายจึงออกจากธนาคารไปสตาร์ทรถจยย. แล้วกลับรถทันทีมุ่งหน้าไปทางแยกพัฒนาการหลบหนีไป โดยคนร้ายได้เงินสดไปทั้งสิ้น 105,320บาท.-สำนักข่าวไทย