เทรนด์ธุรกิจโลกอนาคตมาแรง “ที่ปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อม”

กรุงเทพฯ 22 พ.ย. – อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้าเผย ธุรกิจที่ปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อมมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง รองรับเทรนด์ธุรกิจโลกอนาคตที่ให้ความสำคัญต่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน ส่วนยอดจดทะเบียนธุรกิจใหม่สะสม 10 เดือน แตะ 7.7 หมื่นราย โตขึ้น 2.18% คาดจัดตั้งทั้งปี 67 ทะลุ 9 หมื่นราย


นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์เปิดเผยว่า ‘ธุรกิจที่ปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อม’ เป็นธุรกิจที่มีความโดดเด่นและเป็นปัจจัยสนับสนุนเศรษฐกิจประเทศให้เติบโตอย่างเข้มแข็ง ตอบสนองกระแสการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและการออกกฎระเบียบเพื่อควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับกฎระเบียบใหม่ๆ ของนานาประเทศ

กรมพัฒนาธุรกิจการค้าวิเคราะห์ว่า การดำเนินธุรกิจในอนาคต ทั่วโลกให้ความสำคัญต่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ลดผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก จึงเป็นความท้าทายที่สำคัญของภาคธุรกิจไทยที่ต้องเร่งปรับตัว ทำให้จำเป็นต้องอาศัยความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ทำให้ความต้องการที่ปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อมมีมากขึ้น


‘ธุรกิจที่ปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อม’ มีจำนวนการจัดตั้งธุรกิจและมูลค่าทุนจดทะเบียนเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2564 จัดตั้ง 41 ราย ทุน 81 ล้านบาท ปี 2565 จัดตั้ง 44 ราย (เพิ่มขึ้น 3 ราย หรือ 7.32%) ทุน 57.26 ล้านบาท (ลดลง 23.74 ล้านบาท หรือ 29.31%) ปี 2566 จัดตั้ง 76 ราย (เพิ่มขึ้น 32 ราย หรือ 72.73%) ทุน 303.39 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 246.13 ล้านบาท หรือ 429.85%) ปี 2567 มกราคม – ตุลาคม จัดตั้ง 78 ราย ทุน 159.46 ล้านบาท

รายได้รวมของธุรกิจที่ปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อม 3 ปีย้อนหลัง (2564 – 2566) พบว่า ปี 2564 รายได้รวม 7,152.69 ล้านบาท ปี 2565 รายได้รวม 7,227.91 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 75.22 ล้านบาท หรือ 1.06%) ปี 2566 รายได้รวม 8,941.95 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 1,714.04 ล้านบาท หรือ 23.72%) ขณะที่ผลประกอบการของธุรกิจ ปี 2564 กำไร 146.65 ล้านบาท ปี 2565 กำไร 375.99 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 229.34 ล้านบาท หรือ 156.39%) ปี 2566 กำไร 534.26 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 158.27 ล้านบาท หรือ 42.10%)

มูลค่าการลงทุนของต่างชาติที่ลงทุนในธุรกิจที่ปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อมในนิติบุคคลไทย ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2567 แบ่งเป็น คนไทย 4,352.83 ล้านบาท (77.23%) และชาวต่างชาติ 1,283.05 ล้านบาท (22.77%) โดยต่างชาติที่เข้ามาลงทุนมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1) ญี่ปุ่น 717.54 ล้านบาท (55.92%) 2) จีน 245.74 ล้านบาท (19.15%) และ 3) สหรัฐอเมริกา 76.89 บาท (5.99%) ทั้ง 3 สัญชาติส่วนใหญ่เน้นลงทุนในธุรกิจวิจัยและพัฒนากระบวนการผลิต และปรับปรุงสินค้าให้สอดคล้องกับแนวโน้มในอนาคต


ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2567) มีนิติบุคคลที่ปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อมที่ดำเนินกิจการอยู่ 728 ราย ทุนรวม 5,635.88 ล้านบาท เป็นธุรกิจขนาดเล็ก (S) จำนวน 696 ราย (95.60%) ขนาดกลาง (M) 25 ราย (3.43%) และ ขนาดใหญ่ (L) 7 ราย (0.96%) ดำเนินกิจการในรูปแบบบริษัทจำกัด 698 ราย (95.88%) ทุน 5,605.43 ล้านบาท (99.46%) และ ห้างหุ้นส่วนจำกัด/ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล 30 ราย (4.12%) ทุน 30.45 ล้านบาท (0.54%)

ทั้งนี้ ‘ธุรกิจที่ปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อม’ เป็นโอกาสใหม่ของธุรกิจไทยในปัจจุบัน ผู้สนใจอาจจำเป็นต้องเตรียมทักษะ บุคลากร และเทคโนโลยีด้านนี้ ขณะเดียวกัน การมีที่ปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อมจะช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมของไทยให้มีศักยภาพและความสามารถในการแข่งขันระดับโลก โดยธุรกิจที่ปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อมจะมีความรู้ความเชี่ยวชาญในด้านที่จำเป็นต่างๆ เพื่อช่วยเตรียมความพร้อมให้แก่ผู้ประกอบการ รองรับสถานการณ์ทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างเหมาะสม ทั้งความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับกฎหมายในและระหว่างประเทศด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะช่วยให้องค์กรสามารถวางกลยุทธ์ได้อย่างถูกต้อง ความเชี่ยวชาญด้านกระบวนการผลิตและการพัฒนาสินค้า/บริการ วัตถุดิบทดแทน และห่วงโซ่อุปทานที่ตรวจสอบย้อนกลับได้ และความเชี่ยวชาญด้านการจัดการสิ่งแวดล้อมและผลกระทบภายหลังกระบวนการผลิต เช่น การบำบัดของเสีย การประเมินผลกระทบสังคม และสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

สำหรับผลการจดทะเบียนธุรกิจใหม่สะสม 10 เดือน (มกราคม – ตุลาคม 2567) แตะ 7.7 หมื่นราย โตขึ้น 2.18% เฉพาะเดือนตุลาคม 2567 จดทะเบียน 7,267 ราย โตขึ้น 9% ปัจจัยสนับสนุนมาจากโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่จะเริ่มในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2567 การจับจ่ายใช้สอยเพื่อการอุปโภคบริโภค การท่องเที่ยว และเงินทุนของโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการยังขยายตัวในหลายภูมิภาค คาดตลอดปี 2567 จัดตั้งธุรกิจใหม่ทะลุ 9 หมื่นราย

กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้วิเคราะห์สถานการณ์การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่เดือนตุลาคม 2567 มีจำนวน 7,267 ราย เมื่อเทียบกับเดือนตุลาคม 2566 เพิ่มขึ้น 620 ราย (9.33%) และทุนจดทะเบียน 30,149.01 ล้านบาท เมื่อเทียบกับเดือนตุลาคม 2566 เพิ่มขึ้น 2,938.03 ล้านบาท (10.80%) ประเภทธุรกิจที่มีการจัดตั้งใหม่สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1) ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 573 ราย ทุน 1,150.87 ล้านบาท 2) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 524 ราย ทุน 1,954.06 ล้านบาท และ 3) ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 345 ราย ทุนจดทะเบียน 671.39 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 7.88% 7.21% และ 4.75% จากจำนวนการจัดตั้งธุรกิจในเดือนตุลาคม 2567 ตามลำดับ

เดือนตุลาคม 2567 มีนิติบุคคลที่มีทุนจดทะเบียนจัดตั้งเกิน 1,000 ล้านบาท ที่เกิดจากการควบรวมกิจการจำนวน 1 ราย ซึ่งเป็นการควบระหว่างบริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) เดิม (ห้างแม็คโคร) กับบริษัท เอกชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด (ห้างโลตัส) เป็น บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) ใหม่ มูลค่าทุนจดทะเบียน 10,427.66 ล้านบาท ประกอบกิจการค้าส่งและค้าปลีก

การจัดตั้งธุรกิจใหม่สะสม 10 เดือน (มกราคม – ตุลาคม) ปี 2567 มีจำนวน 76,953 ราย เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 เพิ่มขึ้น 1,641 ราย (2.18%) ทุนจดทะเบียน 238,630.39 ล้านบาท ลดลง 282,952.67 ล้านบาท (54.25%) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 เนื่องจาก ปี 2566 มีทุนจดทะเบียนสูงสุดในประวัติการณ์เพราะมี 2 ธุรกิจที่ทุนจดทะเบียนเกิน 100,000 ล้านบาท ได้ควบรวมและแปรสภาพ ทั้งนี้ 10 เดือนปี 2567 มี ประเภทธุรกิจที่จดทะเบียนจัดตั้งสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1) ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 5,867 ราย ทุน 12,893.94 ล้านบาท 2) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 5,753 ราย ทุน 24,787.78 ล้านบาท และ 3) ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 3,557 ราย ทุน 7,198.17 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 7.62% 7.48% และ 4.62% จากจำนวนการจัดตั้งธุรกิจตั้งแต่เดือนมกราคม – ตุลาคม 2567 ตามลำดับ

การจดทะเบียนเลิกประกอบกิจการเดือนตุลาคม 2567 มีจำนวน 2,516 ราย เมื่อเทียบกับเดือนตุลาคม 2566 เพิ่มขึ้น 276 ราย (12.32%) และทุนจดทะเบียนเลิก 9,899.41 ล้านบาท เมื่อเทียบกับเดือนตุลาคม 2566 เพิ่มขึ้น 945.17 ล้านบาท (10.56%) ประเภทธุรกิจที่เลิกประกอบกิจการสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ 1) ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 218 ราย ทุน 389.14 ล้านบาท 2) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 108 ราย ทุน 3,202.14 ล้านบาท และ 3) ธุรกิจภัตตาคาร/ร้านอาหาร 100 ราย ทุน 387.23 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 8.66% 4.29% และ 3.98% จากจำนวนการเลิกประกอบธุรกิจในเดือนตุลาคม 2567 ตามลำดับ

ทั้งนี้ เดือนตุลาคม 2567 มีนิติบุคคลที่มีทุนจดทะเบียนเลิกประกอบกิจการเกิน 1,000 ล้านบาท จำนวน 1 ราย คือ บริษัท เอพี เอ็มอี 2 จำกัด ทุนจดทะเบียนเลิก 2,001.00 ล้านบาท ประกอบกิจการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์การจัดการที่ดินเปล่า หรือจัดสรรที่ดิน พร้อมสิ่งปลูกสร้างหรืออาคารชุด

การจดทะเบียนเลิกประกอบกิจการสะสม 10 เดือน (มกราคม – ตุลาคม 2567) มีจำนวน 14,762 ราย เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 ลดลง 488 ราย (3.20%) ทุนจดทะเบียนเลิกสะสม 125,904.66 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 เพิ่มขึ้น 35,549.79 ล้านบาท (39.34%) ทั้งนี้ สืบเนื่องมาจากในเดือนพฤษภาคม 2567 มีธุรกิจด้านโทรคมนาคมและการสื่อสาร 1 ราย ที่ทุนจดทะเบียนกว่า 48,209.34 ล้านบาท แต่มีการปรับโครงสร้างการดำเนินการและไม่ได้ประกอบกิจการใดแล้วจึงจดทะเบียนเลิกธุรกิจ เป็นเหตุให้ตัวเลขทุนจดทะเบียนเลิกสะสมในช่วง 10 เดือน ปี 2567 สูงกว่าปกติ ซึ่งหากไม่รวมทุนจดทะเบียนเลิกของธุรกิจโทรคมนาคมรายนี้ มูลค่าทุนจดทะเบียนเลิกจะลดลงถึง 14% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา

สำหรับธุรกิจที่ดำเนินกิจการอยู่ ณ วันที่ 31 ตุลาคม 2567 มีจำนวนทั้งสิ้น 941,727 ราย ทุนจดทะเบียนรวม 22.34 ล้านล้านบาท แบ่งเป็น บริษัทจำกัด 737,658 ราย (78.33%) ทุนรวม 16.15 ล้านล้านบาท (72.30%) ห้างหุ้นส่วนจำกัด/ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล 202,588 ราย (21.51%) ทุนรวม 0.47 ล้านล้านบาท (2.11%) และ บริษัทจำกัดมหาชน 1,481 ราย (0.16%) ทุนรวม 5.72 ล้านล้านบาท (25.59%) เป็นธุรกิจขนาดเล็ก (S) 879,414 ราย (93.38%) ทุนรวม 8.18 ล้านล้านบาท (36.60%) ขนาดกลาง (M) 46,386 ราย (4.93%) ทุนรวม 2.75 ล้านล้านบาท (12.31%) และ ขนาดใหญ่ (L) 15,927 ราย (1.69%) ทุนรวม 11.41 ล้านล้านบาท) (51.09%) แยกตามประเภทธุรกิจ บริการ 507,786 ราย (53.92%) ทุนรวม 13.14 ล้านล้านบาท (58.81%) ขายส่ง/ปลีก 309,107 ราย (32.82%) ทุนรวม 2.50 ล้านล้านบาท (11.21%) และ ผลิต 124,834 ราย (13.26%) ทุน 6.70 ล้านล้านบาท (29.98%)

ขณะที่ 10 เดือน (มกราคม – ตุลาคม 2567) มีการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 จำนวน 786 ราย เป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 181 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (ผ่านช่องทางการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการใช้สิทธิตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ) 605 ราย เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 161,169 ล้านบาท จ้างงานคนไทย 3,037 คน โดยชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุน 5 อันดับแรก ได้แก่ 1) ญี่ปุ่น 211 ราย (27%) ลงทุน 91,700 ล้านบาท 2) สิงคโปร์ 110 ราย (14%) ลงทุน 14,779 ล้านบาท 3) จีน 103 ราย (13%) ลงทุน 13,806 ล้านบาท 4) สหรัฐอเมริกา 103 ราย (13%) ลงทุน 4,552 ล้านบาท และ 5) ฮ่องกง 57 ราย (7%) ลงทุน 14,461 ล้านบาท

การลงทุนในพื้นที่ EEC ของนักลงทุนต่างชาติ 10 เดือน ปี 2567 มีนักลงทุนต่างชาติสนใจลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 251 ราย คิดเป็น 32% ของจำนวนนักลงทุนต่างชาติที่ได้รับอนุญาตในปีนี้ เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จำนวน 141 ราย (เพิ่มขึ้น 128%) (เดือน ม.ค. – ต.ค. 67 ลงทุน 251 ราย / เดือน ม.ค. – ต.ค. 66 ลงทุน 110 ราย) มูลค่าการลงทุนในพื้นที่ EEC จำนวน 45,739 ล้านบาท คิดเป็น 28% ของเงินลงทุนทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 27,148 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 146%) (เดือน ม.ค. – ต.ค. 67 เงินลงทุน 45,739 ล้านบาท / เดือน ม.ค. – ต.ค. 66 เงินลงทุน 18,591 ล้านบาท) เป็นนักลงทุนจาก *ญี่ปุ่น 86 ราย ลงทุน 16,184 ล้านบาท จีน 59 ราย ลงทุน 8,030 ล้านบาท *ฮ่องกง 18 ราย ลงทุน 5,219 ล้านบาท และประเทศอื่นๆ 88 ราย ลงทุน 16,306 ล้านบาท

ส่วนใหญ่ลงทุนใน 1) ธุรกิจบริการทางวิศวกรรม โดยเป็นการออกแบบทางวิศวกรรมสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ 2) ธุรกิจบริการออกแบบชิ้นส่วนยานยนต์ประเภทเข็มขัดนิรภัย ถุงลมนิรภัย 3) ธุรกิจบริการติดตั้ง ทดสอบ ซ่อมแซม บำรุงรักษาและฝึกอบรมเกี่ยวกับเครื่องจักร เครื่องมือ อุปกรณ์ และระบบการทำงานต่าง ๆ เพื่อติดตั้งระบบสายพานที่ใช้สำหรับโครงการก่อสร้างโรงงานผลิตและประกอบรถยนต์ไฟฟ้า 4) ธุรกิจบริการระบบซอฟต์แวร์ฐาน (SOFTWARE PLATFORM) ซึ่งเป็นการให้บริการแพลตฟอร์มสำหรับจัดการการจำหน่ายหรือเผยแพร่ผลงานเพลง และ 5) ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า (อาทิ ชิ้นส่วนสำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอ .-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

โค้งสุดท้ายเลือกตั้ง นายก อบจ.อุบลฯ เดือด ส่งท้ายปี

ใกล้เข้ามาทุกขณะสำหรับการเลือกตั้งนายก อบจ.อุบลราชธานี วันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคมนี้ ซึ่งถือเป็นสนามเลือกตั้งท้องถิ่นขนาดใหญ่ส่งท้ายปีนี้ การแข่งขันดุเดือดเกินคาด ผู้สมัครต่างเร่งหาเสียงกันอย่างเต็มที่ โดยมีผู้สมัคร 4 คน ลงชิงชัย ไปติดตามบรรยากาศโค้งสุดท้ายว่าใครจะเป็นผู้คว้าชัย

ทอ.ส่ง F-16 ขึ้นบินป้องน่านฟ้า หลังมีอากาศยานไม่ทราบฝ่าย เหนือชายแดนไทย-เมียนมา

กองทัพอากาศส่งเครื่องบินขับไล่ F-16 ขึ้นบิน เพื่อพิสูจน์ฝ่ายและสกัดกั้นอากาศยานไม่ทราบฝ่าย บริเวณแนวชายแดนไทย-เมียนมา จ.ตาก

อุตุฯ เผยอีสาน-เหนือ อากาศหนาว กทม.อุณหภูมิลดลงเล็กน้อย

กรมอุตุฯ เผยภาคอีสาน ภาคเหนือ มีอากาศเย็นถึงหนาว ส่วนภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคใต้ตอนบน มีอากาศเย็นในตอนเช้า ส่วนกรุงเทพฯ-ปริมณฑล อุณหภูมิลดลงเล็กน้อย ขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศหนาวเย็น

lightened Christmas tree in front of U.S. Capitol

รู้จัก “ชัตดาวน์” ของสหรัฐและผลกระทบ

วอชิงตัน 20 ธ.ค.- หน่วยงานจำนวนมากของรัฐบาลสหรัฐเสี่ยงต้องปิดทำการชั่วคราว หรือที่เรียกว่า กัฟเวิร์นเมนต์ ชัตดาวน์ (government shutdown) หลังผ่านพ้นเที่ยงคืนวันนี้ (20 ธันวาคม) ตามเวลาสหรัฐ หากรัฐสภาไม่สามารถผ่านร่างงบประมาณฉบับใหม่ได้ทันเวลา หลังจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐลงมติไม่เห็นชอบร่างงบประมาณฉบับใหม่เมื่อวานนี้ สาเหตุที่เสี่ยงชัตดาวน์ ปกติแล้วรัฐสภาสหรัฐ ซึ่งประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาจะต้องจัดสรรงบประมาณให้แก่หน่วยงานรัฐบาลกลางทั้งหมด 438 แห่งก่อนวันที่ 1 ตุลาคมของทุกปี แต่ที่ผ่านมาสมาชิกรัฐสภามักทำไม่ได้ตามกำหนดเวลา และมักผ่านร่างงบประมาณชั่วคราวเพื่อให้หน่วยงานรัฐบาลสามารถดำเนินการได้ต่อไปในระหว่างที่สมาชิกรัฐสภาหารือกันเพื่อผ่านร่างงบประมาณจริง ร่างงบประมาณชั่วคราวฉบับปัจจุบันจะหมดอายุเมื่อเข้าสู่เช้าวันเสาร์ตามเวลาสหรัฐ สมาชิกรัฐสภาพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตเตรียมร่างกฎหมายที่จะขยายเวลาไปจนถึงวันที่ 14 มีนาคม 2568 แต่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีเรียกร้องให้สมาชิกรัฐสภาพรรครีพับลิกันลงมติไม่เห็นด้วย และเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐลงมติไม่เห็นชอบร่างงบประมาณที่เสนอใหม่ ดังนั้นหากรัฐสภาไม่สามารถผ่านร่างงบประมาณฉบับใหม่ได้ก่อนที่ร่างงบประมาณชั่วคราวฉบับปัจจุบันจะหมดอายุ ก็จะเกิดการชัตดาวน์ เพดานหนี้ที่ทรัมป์ต้องการให้แก้ นายทรัมป์ยังต้องการให้สมาชิกรัฐสภาแก้ปัญหาเรื่องการกำหนดเพดานหนี้ประเทศให้รัฐบาลสามารถกู้ยืมได้มากขึ้น ก่อนที่เขาจะสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีในวันที่ 20 มกราคม 2568 รัฐสภาสหรัฐเป็นผู้กำหนดเพดานหนี้สาธารณะที่อนุญาตให้รัฐบาลก่อหนี้ แต่เนื่องจากรัฐบาลมักใช้จ่ายมากกว่ารายได้ที่ได้จากการจัดเก็บภาษี สมาชิกรัฐสภาจึงต้องคอยแก้ปัญหานี้เป็นครั้งคราว รัฐสภาสหรัฐกำหนดเพดานหนี้สาธารณะครั้งแรกในปี 2482 โดยกำหนดไว้ที่ 45,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.55 ล้านล้านบาทในปัจจุบัน) และนับจากนั้นเป็นต้นมาได้ขยายเพดานหนี้แล้วทั้งหมด 103 […]

ข่าวแนะนำ

ฟรีคอนเสิร์ต “มหานครคัลเลอร์ฟูลปาร์ตี้ 2025” ส่งสุขรับปีใหม่

ส่งความสุขรับปีใหม่ กับฟรีคอนเสิร์ต “มหานครคัลเลอร์ฟูลปาร์ตี้ 2025” ศิลปินลูกทุ่งเกือบ 100 ชีวิต ร่วมโชว์จัดเต็ม

เลือกตั้งนายก อบจ.อุบลฯ “กานต์” ส่อเข้าป้าย

เลือกตั้งนายก อบจ.อุบลราชธานี “กานต์” หมายเลข 1 จากเพื่อไทย ส่อเข้าป้าย ด้าน ปชน. แถลงยอมรับยังไม่เป็นที่ไว้วางใจ ส่วนอุตรดิตถ์ “ชัยศิริ” อดีตนายก อบจ. ส่อเข้าวิน

เด้ง ตร.จราจร ปมคลิปรับเงินแลกไม่เขียนใบสั่ง

ผบก.ภ.จว.นนทบุรี สั่งย้าย “รอง สว.จร.สภ.รัตนาธิเบศร์” เซ่นคลิปรับเงินแลกไม่ออกใบสั่ง พร้อมตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงภายใน 3 วัน ด้านเจ้าตัวอ้างไม่เห็นเงินที่วางบนโต๊ะในตู้ควบคุมสัญญาณไฟจราจร