1 มิ.ย. – ตำรวจพบรถต้องสงสัยที่คาดว่าน่าจะเป็นรถของอดีตพระพรหมเมธี ผู้ต้องหาตามหมายจับคดีเงินทอนวัดลอต 3 ที่วัดในจังหวัดนครพนม ขณะที่พบเบาะแสมีนักธุรกิจให้ความช่วยเหลือหลบหนีไปประเทศเพื่อนบ้าน
ความคืบหน้าการติดตามจับกุม “จำนงค์ เอี่ยมอินทรา” หรืออดีตพระพรหมเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร ผู้ต้องหาตามหมายจับคดีเงินทอนวัดลอต 3 ที่ยังหลบหนีอยู่ในขณะนี้ แม้จะยังไม่พบตัว แต่วันนี้ตำรวจพบรถยนต์ต้องสงสัย เป็นรถตู้โตโยต้า อัลพาร์ด สีบรอนซ์เงิน ทะเบียน กภ 3 กภ 8672 กรุงเทพมหานคร จอดทิ้งไว้ใกล้กุฏิเจ้าอาวาสวัดป่าสุคนธรักษ์ บ้านค่ายเสรี ตำบลนางงาม อำเภอเรณูนคร จังหวัดนครพนม เบื้องต้นคาดเกี่ยวข้องกับการหลบหนีอดีตพระพรหมเมธี แต่ไม่พบพระสงฆ์ สามเณร หรือผู้ดูแลภายในวัด และไม่มีผู้ใดแสดงตัวเป็นเจ้าของรถ เจ้าหน้าที่จึงเคลื่อนย้ายรถไปไว้ที่ สภ.เรณูนคร ขณะที่เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานเข้าตรวจสอบเก็บดีเอ็นเอและลายนิ้วมือแฝง ภายในรถอย่างละเอียด
มีรายงานว่า อดีตพระพรหมเมธีได้รับความช่วยเหลือจากนักธุรกิจหญิงรายหนึ่งช่วยพาหลบหนีผ่านทางช่องทางธรรมชาติ โดยหนีขึ้นเรือหาปลาที่ชุมชนบ้านท่าควาย เขตเทศบาลเมืองนครพนม ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 3 กิโลเมตร หลังจากข้ามชายแดนสำเร็จ ไปพักที่โรงแรมดงชัย ในเมืองท่าแขก แขวงคำม่วน สปป.ลาว กระทั่งเช้าวันที่ 31 พฤษภาคม ได้เดินทางต่อไปยังเมืองสองห้อง ซึ่งห่างจากเมืองท่าแขกไปทางเหนือประมาณ 50 กิโลเมตร ที่นั่นจะมีผู้มารอรับอดีตพรพรหมเมธีเดินทางต่อ แต่ยังไม่ทราบจุดหมายปลายทางว่าไปที่ใด
มีรายงานอีกว่า ตำรวจตามประกบนักธุรกิจรายนี้และสามารถควบคุมตัวได้ที่ด่านสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 3 (นครพนม-คำม่วน) จังหวัดนครพนม ขณะกำลังเดินทางกลับมาจากฝั่ง สปป.ลาว ขณะนี้อยู่ระหว่างสอบปากคำ ขณะเดียวกันตำรวจยังเร่งรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อเสนอศาลอนุมัติหมายจับเจ้าอาวาสวัดดังที่ให้การช่วยเหลือหลบหนีอีกด้วย
การระดมกำลังครั้งนี้ พล.ต.ท.สุทธิพงษ์ วงษ์ปิ่น ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง พร้อม พล.ต.ต.ไมตรี ฉิมเฉิด ผู้บังคับการปราบปราม และตำรวจกองปราบฯ ลงพื้นที่สั่งการด้วยตัวเอง
ด้าน พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวถึงอดีตพระเมธีสุทธิกร อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศฯ ที่ถูกส่งตัวเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครเมื่อวานนี้ว่า คืนแรกถูกควบคุมในแดนแรกรับ หรือแดน 1 ก่อน เพื่อให้ปรับตัวและเรียนรู้ระเบียบข้อบังคับของเรือนจำ ตลอดคืนที่ผ่านมาไม่มีปัญหาอะไร อาจมีอาการตกใจและวิตกกังวลบ้าง ซึ่งได้พูดคุยทำความเข้าใจและคลายความกังวลแล้ว ส่วนอดีตพระทั้งหมดที่เข้ามาก่อนหน้านี้ ได้แยกแดนมาอยู่ในแดนควบคุมผู้ต้องหาที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาคดี ซึ่งถือว่ายังเป็นผู้บริสุทธิ์และยังสามารถต่อสู้คดีได้ในชั้นศาล ทางเรือนจำจึงได้อะลุ่มอล่วยในเรื่องการแต่งกาย การถือศีลสวดมนต์ โดยจะไม่เข้าไปบังคับกดดันใดๆ โดยไม่จำเป็น
มีความเคลื่อนไหวกลุ่มชาวพุทธพลังแผ่นดิน พร้อมด้วยเครือข่ายองค์กรชาวพุทธอื่นๆ นำโดยนายจรูญ วรรณกสิณานนท์ เดินทางไปแจ้งความเอาผิด พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ที่กองบังคับการปราบปรามฐานแจ้งความโดยมิชอบฯ และละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ฯ พร้อมขอให้สอบสวนผู้ที่มีส่วนอนุมัติเงินงบประมาณให้วัด เพื่อหาต้นเหตุที่แท้จริงของความผิด เนื่องจากการที่ ผอ.พศ. ให้ตำรวจเข้าตรวจค้นและแจ้งข้อหากับพระสงฆ์หลายวัด มีความไม่ชอบมาพากล และเชื่อว่ามีผู้ไม่หวังดีโยนความผิดให้พระสงฆ์ โดยมองว่าความผิดทั้งหมดไม่ได้อยู่ที่พระสงฆ์ แต่อยู่ที่ พศ. เนื่องจากเป็นผู้สนับสนุนงบให้วัด และพระสงฆ์ไม่ทราบขั้นตอนเรื่องงบประมาณ แต่กลับมีการแจ้งข้อหาดำเนินคดีกับพระสงฆ์ว่าใช้งบผิดประเภท จนทำให้พระสงฆ์ต้องสละสมณเพศจำนวนมาก และทำให้หลายวัดถูกทำลายชื่อเสียง
หลังจากแจ้งความที่กองปราบปรามแล้ว กลุ่มชาวพุทธพลังแผ่นดินยังได้เดินทางไปยื่นหนังสือถึงคณะกรรมการกฤษฎีกา ให้ตีความอำนาจศาลและตำรวจ ที่ให้พระสละสมณเพศว่าเป็นการละเมิดมาตรา 30 ของ พ.ร.บ.สงฆ์ฯ หรือไม่. – สำนักข่าวไทย