ธรรมศาสตร์ 24 พ.ค.- รองอธิการบดี มธ. ชี้ หาก คสช.อยากเป็นรัฐบาลต่อ ต้องรวมกับเสียง ส.ส.พรรคใหญ่พรรคใดพรรคหนึ่ง แนะ หาก มิ.ย.นี้ เห็นว่า ไม่สามารถรวมเสียง ส.ส.ได้ 250 ควรถอยจากการเล่นการเมือง
นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้ความเห็นเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ที่จะเกิดขึ้นในปี 2562 ว่า หากรัฐบาลปล่อยให้การเลือกตั้งล่าช้าไปกว่าเดือนกุมภาพันธ์ 2562 จะทำให้เกิดความยากลำบาก เพราะยากลำบาก เพราะทุกวันนี้ไทยได้รับการผ่อนปรนจากสหภาพยุโรป หรือ อียู และจากประเทศที่เป็นประชาธิปไตยมาก เนื่องจากรัฐบาลได้ยืนยันกับนานาชาติไว้แล้ว
“หากวันที่ 30 พฤษภาคมนี้ ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ นายกรัฐมนตรีก็สามารถนำร่างกฎหมายขึ้นทูลเกล้าฯ ได้ในช่วงเดือนมิถุนายนนี้ ซึ่งกฎหมายก็จะมีผลบังคับใช้ในเดือนธันวาคม 2561 จากนั้น ก็จะต้องจัดการเลือกตั้งภายใน 150 วัน ซึ่งจะอยู่ในช่วงเดือนพฤษภาคม ดังนั้น ภายใน 150 วัน รัฐบาลสามารถร่นระยะเวลาในส่วนนี้ได้” นายปริญญา กล่าว
นายปริญญา ยังเห็นว่า ไม่เหตุใดที่จะใช้ยื้อเวลาการเลือกตั้งออกไป หากในวันที่ 30 พฤษภาคมนี้ ศาลรัฐธรรมมนูญมีคำวินิจฉัยว่า ร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ไม่ขัดรัฐธรรมนูญ และหาก คสช.จะใช้ ม.44 เพื่อยื้อระยะเวลาการบังคับใช้ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ออกไปจาก 90 วัน เป็น 120 วัน ก็จะต้องชี้แจงสังคมให้ได้ เพราะ รัฐบาล และคสช. ก็ยืนยันมาตลอด ว่าจะมีการเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ 2562
ส่วนมีความเป็นได้หรือไม่ว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยว่า คำสั่ง คสช. ฉบับที่ 53/2560 ขัดรัฐธรรมนูญ นายปริญญา กล่าวว่า มีความเป็นไปได้ เพราะรัฐธรรมนูญได้รับรองอำนาจของ คสช. ตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวปี 2557 และรัฐธรรมนูญ 2560 ในมาตรา 279 ก็ได้รับรองการกระทำ และบรรดาคำสั่ง คสช. ว่าชอบด้วยกฎหมาย แต่ไม่ได้รับรองเนื้อหาของตัวคำสั่งดังกล่าว ดังนั้น หากศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าขัดรัฐธรรมนูญ คำสั่งดังกล่าวก็ถือเป็นโมฆะ และกลับไปใช้บทเฉพาะกาลของกฎหมายพรรคการเมืองเช่นเดิม
นายปริญญา ยังกล่าวถึง กระแสข่าวความพยายามของ คสช.ในการตั้งพรรคการเมือง เพื่อเป็นรัฐบาลต่อ ว่า หากเป็นเช่นนั้น สถานะความเป็นกลางของ คสช. ก็จะหมดไป เพราะ คสช. จะถือเป็นผู้มีส่วนได้เสียจากการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น เพราะได้เปรียบในฐานะที่เป็นรัฐบาล ขณะที่ พรรคการเมืองอื่นๆ ยังไม่สามารถทำกิจกรรมใดๆ ได้ แต่ทั้งนี้จะต้องรอฟังความชัดเจนก่อนว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะเป็นเบอร์หนึ่งของพรรคการเมือง ที่จะเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่
นายปริญญา กล่าวว่า ตัวเลขการเป็นนายกรัฐมนตรี จะต้องใช้เสียงกึ่งหนึ่งของรัฐสภา คือ 376 เสียง คสช.มีเสียง ส.ว.แล้ว 250 เสียง ขาดเสียง ส.ส. เพียง 126 เสียง แต่ถ้ามีเสียง ส.ส. เพียง 126 เสียง ก็จะไม่สามารถเสนอร่างกฎหมายใดๆ ให้ผ่านการพิจารณาของ ส.ส.ในสภาทั้งหมดได้ และอาจจะถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ดังนั้น หาก คสช.จะเป็นรัฐบาล จึงควรมีเสียง ส.ส. ที่สนับสนุนขั้นต่ำ 250 เสียง หาก คสช.จะรวมเสียงกับพรรคขนาดกลางและพรรคขนาดเล็ก ก็น่าจะยังได้เสียงไม่เพียงพอ จำเป็นต้องรวมกับพรรคใหญ่พรรคใดพรรคหนึ่ง ซึ่งมองแล้วว่า ก็เป็นเรื่องที่ยาก
“ในเดือนมิถุนายนนี้ หาก คสช.พิจารณาแล้วว่า หลังการเลือกตั้ง ไม่สามารถมีเสียง ส.ส. ได้ถึง 250 เสียง ก็ควรถอย” นายปริญญา กล่าว .- สำนักข่าวไทย