กรุงเทพฯ 12 ก.ย. – ไทยออยล์มั่นใจโครงการ CFP ลงทุนแสนล้านบาทในพื้นที่อีอีซี ขยายกำลังผลิตเดินหน้าตามแผนคัดเลือกผู้รับเหมาเสร็จสิ้นไตรมาส 2/2561
นายอธิคม เติบศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทเปิดเอกสารเชิญชวนประมูล หรือทีโออาร์ โครงการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ หรือ Clean Fuel Project (CFP) เพื่อขยายกำลังการกลั่นเพิ่มจาก 275,000 บาร์เรลต่อวัน เป็น 400,000 บาร์เรลต่อวัน ในพื้นที่จังหวัดชลบุรี โดยให้ยื่นทางเทคนิคภายในเดือนธันวาคมนี้และยื่นเสนอราคาภายในเดือนมีนาคม 2561 ซึ่งจะตัดสินใจลงทุนครั้งสุดท้าย (FID ) ไตรมาส 2/2561 ถือว่าเป็นไปตามแผนงานเริ่มลงทุนปี 2561 คาดว่าจะเริ่มผลิตปี 2565 โดยนับว่าเป็นเม็ดวงเงินสูงเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจแล้ว นอกจากกำลังผลิตจะเพิ่มขึ้นแล้วยังสร้างมูลค่าเพิ่ม เพราะจะไม่มีน้ำมันเตาที่มีราคาต่ำออกมาเลยจากปัจจุบันมีประมาณร้อยละ 8-9 โดยจะเปลี่ยนเป็นน้ำมันเครื่องบินและน้ำมันดีเซล รวมทั้งจะเพิ่มความยืดหยุ่นต้นทุนจะต่ำลง เพราะเลือกใช้น้ำมันดิบได้หลากหลายจากปัจจุบันอิงตะวันออกกลางร้อยละ 70-80
นายอธิคม กล่าวว่า วงเงินลงทุน CFP เดิมประเมินไว้ 3,000-4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะนี้คงต้องดูข้อเสนอผู้รับเหมาว่าจะแข่งขันอย่างไร โดยเงินลงทุนไม่มีปัญหา เพราะขณะนี้มีเงินสดประมาณ 1,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 6 หมื่นล้านบาท) และแต่ละปียังมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานเข้ามา 300-400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ/ปี ดังนั้น ภายใน 5 ปีจะมีเงินรวม 1,500-2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จะเห็นได้ว่าครอบคลุมเงินลงทุน อย่างไรก็ตาม ไทยออยล์มีหนี้สินต่อทุนเพียงระดับ 0.1-0.2 เท่า ยังสามารถกู้เงินเพื่อการลงทุนได้ โดยก่อนหน้านี้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นอนุมัติให้ออกหุ้นกู้ 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จะออกหรือไม่ ก็แล้วแต่สถานการณ์ที่เหมาะสม
นายอธิคม กล่าวว่า ไตรมาส 3/2560 คาดว่าจะมีผลประกอบการน่าพอใจ ซึ่งเป็นผลจากค่าการกลั่นที่สูงขึ้น โดยยอมรับว่าเป็นผลจากพายุ “ฮาร์วีย์” สหรัฐส่งผลให้ขณะนี้ค่าการกลั่นรวมมากกว่า 10 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และคาดว่าค่าการกลั่นเฉลี่ยจะไม่ต่ำ 8-9 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล นอกจากนี้ ประเมินว่าสิ้นปีนี้ราคาน้ำมันดิบดูไบน่าจะปิดใกล้เคียงกับสิ้นปี 2559 ที่ประมาณ 52 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ประกอบกับบริษัทรับรู้ผลดำเนินการจากโครงการใหม่เต็มศักยภาพจากโครงการผลิตสาร Linear Alkyl BenZene (LAB) และโครงการโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก 2 โครงการ จึงคาดว่าปีนี้จะมีกำไรจากการดำเนินการที่ไม่เกี่ยวข้องกับสตอกน้ำมันสูงกว่าปีที่แล้ว โดยปี 2559 นับว่ามีกำไรสุทธิสูงสุดในรอบ 10 ปีที่ 21,222 ล้านบาท ในส่วนนี้เป็นกำไรสตอกน้ำมันประมาณ 6,000 ล้านบาท
บมจ.ไทยออยล์รายงานราคาน้ำมันดิบ WTI สหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.59 ดอลลาร์สหรัฐ ปิดที่ 48.07 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล หลังโรงกลั่นน้ำมันในสหรัฐทยอยเพิ่มอัตราการใช้กำลังการผลิต หลังก่อนหน้าโรงกลั่นน้ำมันในรัฐเท็กซัสหลายแห่งได้รับจากผลกระทบของพายุฮาร์วีย์ และทำให้อัตราการใช้กำลังการผลิตปรับตัวลดลงสู่ระดับต่ำสุดตั้งแต่ปี 2553 และราคาน้ำมันดิบยังได้รับแรงหนุนจากความเป็นไปได้ในการขยายระยะเวลาของข้อตกลงการลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบ 1.8 ล้านบาร์เรลต่อวันของกลุ่มโอเปกและผู้ผลิตนอกกลุ่ม อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากพายุเฮอร์ริเคน Irma ซึ่งนับเป็นพายุที่มีความรุนแรงมากที่สุดในมหาสมุทรแอตแลนติกในรอบ 82 ปี ที่ได้ส่งผลทำให้ประชาชนประมาณ 7.3 ล้านคนในรัฐฟลอริด้า จอร์เจีย เซาธ์แคโรไลนา และอลาบามาไม่สามารถใช้ไฟฟ้าได้ และอาจจะส่งผลทำให้ความต้องการใช้น้ำมันสำเร็จรูปในสหรัฐปรับตัวลดลง เนื่องจากการสัญจรที่เป็นไปได้อย่างลำบาก.-สำนักข่าวไทย