กกต. 11 ก.ย.- “หมอวรงค์” ร้อง กกต. ปม “ทักษิณ” ครอบงำ “เพื่อไทย” ชี้เข้าข่ายการยุบพรรคโดยศาลรัฐธรรมนูญ ลั่นหากไม่ทำตามกฎหมาย จากระบอบทักษิณจะกลายเป็นระบอบชินวัตร แนะ กกต. ทำหน้าที่ให้เต็มที่ เชื่อบ้านเมืองจะดีขึ้น
นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี พร้อมคณะ เดินทางยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ร้องเรียนกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ครอบงำพรรคเพื่อไทย โดยนายแพทย์วรงค์ ให้สัมภาษณ์ก่อนยื่นหนังสือว่าวันนี้ตนมายื่นเอกสารร้องเรียน 2 กรณี ประกอบด้วย 1.ร้องเรียนนายทักษิณ ที่ครอบงำพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกอบรัฐธรรมนูญ (รธน.) ว่าด้วยพรรคการเมือง ในมาตรา 29 ส่วนประเด็นที่ 2 พรรคเพื่อไทย ยินยอมให้บุคคลที่ไม่ใช่สมาชิกพรรคเข้ามาชี้นำพรรค ซึ่งเป็นไปตามความผิด พ.ร.บ. เดียวกัน ในส่วนของมาตรา 28
ส่วนที่ตนมาร้อง เนื่องจากการครอบงำเป็นปัญหาใหญ่ของระบบการเมืองไทย เนื่องจากผู้ปฏิบัติเป็นเพียงหุ่นเชิดให้ถูกชี้นำ แต่บุคคลที่ครอบงำ อาจได้ผลประโยชน์แต่ประชาชนไม่รับรู้ จึงทำให้ตนต้องเข้ามาร้องเรียน เพื่อปกป้องประโยชน์ของประชาชน และปกป้องกฎหมายรัฐธรรมนูญ
ทั้งนี้ มี 3 สาระสำคัญ ที่เป็นเหตุผลต่อการร้องเรียน คือ การที่ นายทักษิณ เชิญชวนแกนนำบางส่วนของพรรคเพื่อไทย รวมทั้งนายชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย และพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อเจรจาในการจัดตั้งรัฐบาล ช่วงเย็นของวันที่ 14 สิงหาคมที่ผ่านมา หลังจากมีกระแสข่าวว่า นายเศรษฐา ทวีสิน หลุดจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และการพูดคุยได้บทสรุปว่า จะเสนอนายชัยเกษม ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี แม้วันรุ่งขึ้นจะมีการประชุมพรรคเพื่อไทย โดยการเปลี่ยนตัวจากนายชัยเกษม เป็นนางสาวแพทองธาร ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี แต่อย่างไรก็ตาม มันเป็นกรรมหรือเป็นวาระที่สำเร็จไปเรียบร้อยแล้ว เพราะนายทักษิณ ไม่ใช่สมาชิกพรรค แต่มาครอบงำ รวมทั้งชี้นำพรรคเพื่อไทย โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่มีหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรค รวมทั้งกรรมการบริหารพรรคออกมาปฏิเสธตามกระแสข่าว
ส่วนประเด็นที่ 2 เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันที่ 20 สิงหาคมที่ผ่านมา สื่อมวลชนสอบถามนายทักษิณ ว่า จะให้นางสาวแพทองธาร รวบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมด้วยหรือไม่ และนายทักษิณ ได้ตอบกลับว่า มันหนักเกินไป ดังนั้น แม้จะอ้างว่านางสาวแพทองธาร เป็นลูกสาว แต่นางสาวแพทองธาร เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ฉะนั้น เป็นการชี้นำหัวหน้าพรรคเพื่อไทย
ทั้งนี้ นายทักษิณได้ระบุอีกว่า การกระทำดังกล่าว ไม่ใช่การครอบงำ แต่เป็นการครอบครอง เพราะ นางสาวแพทองธาร เป็นลูกสาวตน ดังนั้น ตนจึงมองว่า การครอบครองนั้นหนักกว่าการครอบงำ เนื่องจากมีสิทธิ์เป็นเจ้าของ ส่วนการจะให้คำปรึกษาในฐานะคนเป็นพ่อ ตนมองว่า ควรให้คำปรึกษาที่บ้าน ไม่ใส่แสดงผ่านสื่อสาธารณะ เสมือนเป็นหัวหน้าพรรค ซึ่งเข้าข่ายผิดกฎหมาย
ส่วนประเด็นที่ 3 คือ การให้สัมภาษณ์ที่จะนำพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เข้าร่วมรัฐบาล เนื่องจากรัฐบาลต้องการเสียงที่เพียงพอต่อการผ่านกฎหมาย จึงให้เลขาธิการพรรคเพื่อไทยทำหนังสือเชิญร่วมรัฐบาล ดังนั้นเห็นชัดเจนว่านายทักษิณ ชี้นำในการจัดตั้งรัฐบาล โดยมีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ ร่วมทั้งกรณีที่ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ที่จะมีกลุ่มของ ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า อดีตรัฐมนตรีเพื่อการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งคำพูดของนายทักษิณ นั้นชัดเจนว่า จะเลือกกลุ่มใด และเป็นไปตามนั้น คือ ร้อยเอก ธรรมนัส
นายแพทย์วรงค์ กล่าวต่อว่า การกระทำดังกล่าวของพรรคเพื่อไทย ที่ให้บุคคลที่ไม่ใช่สมาชิกพรรคมาครอบงำ พรรคการเมืองนั้นจึงมีความผิด และนำไปสู่การยุบพรรคโดยศาลรัฐธรรมนูญ
เมื่อถามว่าปัจจุบัน มีประเด็นกระบวนการนิติสงคราม ถึงการร้องเรียนนางสาวแพทองธาร นายกรัฐมนตรีในประเด็นต่างๆ ว่าเป็นกระบวนการเช็คบิล และมีการจ้างโดยนำเงินมาแลกเปลี่ยน นายแพทย์ วรงค์ กล่าวว่า คำว่านิติสงคราม เป็นคำโจมตีของบุคคลที่มาฟ้อง และถามกลับว่าบุคคลเหล่านั้น เชื่อมั่นต่อกระบวนการระบบประชาธิปไตยหรือไม่ และประชาธิปไตย มีหัวใจหลัก 3 ข้อ คือ 1.สิทธิเสรีภาพ 2.การเลือกตั้ง และ 3.กระบวนการตรวจสอบ
ดั้งนั้นกระบวนการของประชาธิปไตย ต้องยอมรับการตรวจสอบ ส่วนบุคคลที่ระบุว่า เป็นกระบวนการนิติสงคราม เท่ากับบุคคลเหล่านั้นไม่ยอมรับการตรวจสอบ แล้วการตรวจสอบน้ำตนมองว่าเป็นเสน่ห์ของระบบประชาธิปไตย และประชาชนได้ประโยชน์ ดังนั้น คำว่านิติสงคราม เป็นวาทะกรรมที่เกร็งกลัวการตรวจสอบ ของพวกที่ไม่ชอบการตรวจสอบแต่อ้างว่ารักประชาธิปไตย ซึ่งมันของปลอม ฉะนั้น ตนยืนยันว่า ตนไม่รับเงิน และหากบุคคลใดบอกชื่อตนว่าตนรับเงิน ตนจะฟ้องทุกคน
ส่วนที่ระบอบทักษิณ จะฟื้นขึ้นมานั้น หากนายทักษิณ ไม่ทำตามกฎหมาย จากระบอบทักษิณ จะกลายเป็นระบอบชินวัตร
ทั้งนี้ ตนขอเรียกร้อง กกต. เนื่องจากเป็นหัวใจสำคัญที่จะทำให้ระบอบประชาธิปไตยเกิดการบาลานซ์ หาก กกต. ทำหน้าที่อย่างเต็มที่ ตนยืนยันว่า บ้านเมืองจะดีขึ้นอย่างแน่นอน ยืนยันว่า ไม่ได้ร้องไปเรื่อย และไม่เลอะเทอะ มีหลักมีเกณฑ์ และร้องแต่เรื่องใหญ่ๆ เรื่องเล็กตนไม่ร้อง .-317 -สำนักข่าวไทย