14 มิ.ย. – ตำรวจไซเบอร์รวบกราฟิกสาววัย 30 ปี ขายข้อมูลส่วนบุคคลกว่า 1 ล้านรายชื่อ ทางเฟซบุ๊ก พบมีครบทั้งเลขบัญชีธนาคาร เบอร์โทร ไอดีไลน์
พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมแถลงผลปฏิบัติการ “Cyber Sweep” ตรวจค้นเครือข่ายลักลอบการขายข้อมูลส่วนบุคคลกว่า 1 ล้านรายชื่อ ผ่านทางเฟซบุ๊ก โดยคดีนี้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบเฟซบุ๊กโพสต์ข้อความซื้อขายข้อมูลส่วนตัวในกลุ่ม “ซื้อขายฐานข้อมูลลูกค้าทุกอย่าง” ซึ่งกลุ่มดังกล่าวเป็นกลุ่มเปิดสาธารณะ เข้าไปแชทพูดคุยส่วนตัวกับผู้ที่โพสต์ จึงได้ล่อซื้อข้อมูล มีทั้งสายดำและสายขาว จำนวน 200,000 รายชื่อ ในราคา 3,000 บาท โดยผู้โพสต์จะให้แอดไลน์เพิ่มเพื่อนในไอดีไลน์ จากนั้นจะปรากฏไลน์ชื่อ “ดาต้าฐานข้อมูลลูกค้า” หลังจากพูดคุยตกลงรายละเอียดแล้วจะให้โอนเงินเพื่อซื้อขายข้อมูลตามที่เราต้องการไปยังบัญชีที่ส่งมาให้ทางไลน์ เมื่อโอนเงินเสร็จสิ้นจะได้รับข้อมูลส่วนตัวของผู้อื่นจริง พร้อมทั้งยังได้รับโปรแกรมยิง SMS ฟรี ซึ่งข้อมูลส่วนตัวที่ได้รับมีหลายประเภท อาทิ ชื่อ นามสกุล หมายเลขบัญชีธนาคาร หมายเลขโทรศัพท์ และไอดีไลน์
จากนั้นเจ้าหน้าที่สืบสวนทราบว่าที่ห้องเช่าภายพื้นที่หมู่ 2 ต.สามกอ อ.เสนา จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นสถานที่ตั้งขายข้อมูลส่วนบุคคลรายนี้ จึงขอหมายศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เข้าตรวจค้นบ้านหลังดังกล่าว พบสาวอายุ 30 ปี ผู้ต้องสงสัย แสดงตัวเป็นเจ้าของห้อง จึงตรวจยึดโน้ตบุ๊ก 1 เครื่อง โทรศัพท์มือถือ 2 เครื่อง มาตรวจสอบข้อมูลพบ มีข้อมูลส่วนบุคคลทั้งชายและหญิงที่จัดเก็บไว้ในเครื่องกว่า 1 ล้านรายชื่อ
สอบถามผู้ต้องสงสัยให้การว่า เมื่อประมาณ 5 ปีที่แล้ว เคยทำงานเป็นกราฟิกให้เว็บพนันออนไลน์ ฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน ได้รับค่าตอบแทน 15,000-18,000 บาทต่อเดือน โดยทำหน้าที่ตัดต่อรูปภาพที่ใช้สำหรับโปรโมทเว็บพนันออนไลน์ ส่วนข้อมูลบุคคลที่ตนได้มานั้นเป็นฐานข้อมูลของลูกค้าที่เคยสมัครเข้าไปเล่นพนันออนไลน์ตามเว็บไซต์ต่างๆ ซึ่งทางเจ้าของเว็บพนันเป็นคนจัดหาข้อมูลมาให้ โดยในคอมพิวเตอร์มีข้อมูลทั้งหมดกว่า 10 ไฟล์ รวมกันกว่า 1 ล้านรายชื่อ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ขายข้อมูลให้ผู้อื่นไปแล้วกว่า 10 ครั้ง เนื่องจากข้อมูลส่วนบุคคลนั้นสามารถนำมาทำให้เกิดรายได้ โดยส่วนใหญ่ผู้ทำเว็บพนันออนไลน์ต่างๆ จึงมักมีการลักลอบนำข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้ามาเสนอขายให้แก่บุคคลทั่วไป หลังจากนี้เจ้าหน้าที่จะตรวจสอบขยายผลหาผู้กระทําผิดทั้งขบวนการ
สมาคมธนาคารไทยปิดแล้วกว่า 3 แสนบัญชีออนไลน์ ต้องสงสัยบัญชีม้า
นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ออกมาตรการยกระดับ จัดการภัยทุจริตทางการเงิน มุ่งป้องกันและจัดการปัญหาบัญชีม้า เพื่อไม่ให้เป็นเครื่องมือมิจฉาชีพในการรับ-ส่งเงินที่ได้จากการหลอกลวงประชาชน สมาคมธนาคารไทยและธนาคารสมาชิก พร้อมสนับสนุนมาตรการของ ธปท. โดยจัดทำแนวทางปฏิบัติภาคธนาคารร่วมกันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินมาตรการป้องกันบัญชีม้าที่จะเปิดใหม่และขยายผลตรวจจับบัญชีม้าที่มีอยู่เดิม ซึ่งจะยกระดับการป้องกันบัญชีม้า 2 ส่วน
ส่วนแรกมาตรการป้องกันบัญชีม้าเปิดใหม่ โดยจะประเมินความเสี่ยงของคนที่มาเปิดบัญชีเงินฝากกับธนาคารว่ามีแนวโน้มจะนำบัญชีไปใช้ทุจริตหรือไม่ เช่น การเข้มงวดในการเปิดบัญชีใหม่สำหรับกลุ่มบุคคลที่อยู่ในรายชื่อมีความเสี่ยงสูง หรือกลุ่มบุคคลที่มีข้อสงสัยว่าอาจเป็นบัญชีม้า หรือเคยเป็นบัญชีม้ามาก่อน
มาตรการขยายผลตรวจจับและการจัดการบัญชีม้าให้มีความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น ทั้งการแลกเปลี่ยนข้อมูลบัญชี ที่อาจเป็นบัญชีม้าข้ามธนาคาร การตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับลูกค้าที่มีบัญชีกับธนาคาร (กระบวนการ CDD) และการแลกเปลี่ยนข้อมูลจากหน่วยงานราชการกับธนาคาร เพื่อให้แต่ละธนาคารนำข้อมูลดังกล่าวมาประกอบการตรวจจับบัญชีต้องสงสัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ เมื่อธนาคารตรวจพบบัญชีต้องสงสัยจะดำเนินการระงับการทำธุรกรรมผ่านช่องทางออนไลน์ทันที เพื่อให้เจ้าของบัญชียืนยันตัวตน แสดงหลักฐานว่าเป็นผู้ใช้บัญชีจริง และไม่ได้นำบัญชีไปใช้ทำทุจริต พร้อมนำส่งข้อมูลบัญชีต้องสงสัยไปยังหน่วยงานราชการต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาออกคำสั่งทางปกครองเพื่อดำเนินการกับบัญชีต้องสงสัยต่อไป โดยปัจจุบันธนาคารได้ปิดช่องทางออนไลน์ของบัญชีต้องสงสัยไปแล้วกว่า 300,000 บัญชี
ขอให้ประชาชนตระหนักถึงผลกระทบจากการเปิดบัญชีม้า หรือยอมให้ผู้อื่นใช้บัญชีของตนเป็นบัญชีม้า ว่ามีโทษตามกฎหมาย และย้ำว่าภาคธนาคารมีมาตรการจัดการที่เข้มงวด เช่น ระงับการใช้งานผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมดทันที ไม่อนุญาตให้เปิดบัญชีใหม่ ตลอดจนกำหนดมาตรการอื่นเพิ่มเติม การพัฒนากำหนดฟังก์ชันการใช้งานโมบายแบงก์กิ้งเพิ่มเติม ป้องกันความเสี่ยงให้กับลูกค้าในอนาคต โดยจะพิจารณาอย่างรอบคอบไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการใช้บริการหรือการทำธุรกรรมลูกค้าทั่วไป โดยสมาคมธนาคารไทย ธนาคารสมาชิก เชื่อมั่นว่ามาตรการดังกล่าวจะทำให้สามารถตรวจจับบัญชีม้าในระบบ และลดบัญชีม้าเกิดใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ.-สำนักข่าวไทย