กทม. 12 ส.ค.- ผู้การ 191 ไม่กังวล นายทหารและตำรวจที่ร่วมแก๊งอุ้มรีดเงินนักธุรกิจท่องเที่ยวได้ประกันตัว ชี้ เก็บข้อมูลหลักฐานไว้หมดแล้ว เปิดพฤติการณ์แก๊งนี้ พบก่อเหตุมาไม่ต่ำกว่า 10 ครั้ง
พลตำรวจตรีสุรเชษฐ์ หักพาล ผู้บังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษหรือ 191 กล่าวถึงความคืบหน้าการจับกุมพลตรีจรูญ อำภา นายทหารสังกัดกองทัพไทย, พันตำรวจตรีณัฐกฤษต์ ยุทธา อดีตสารวัตรกองกำกับการ 5 กองบังคับการปราบการกระทำความผิดทางเศรษฐกิจหรือ ปอศ. กับพวกรวม 10 คน ตามหมายจับศาลอาญา ข้อหาร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใดหรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายแก่ชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจ โดยร่วมกันกระทำผิดตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป, ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่น หรือกระทำโดยประการใดๆให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย และให้ผู้อื่นนั้นกระทำการใดให้แก่ผู้กระทำหรือผู้อื่น, ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมให้ หรือยอมจะให้ตนหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจ หรือบุคคลที่ 3 และร่วมกันบุกรุกเคหสถานตั้งแต่สองคนขึ้นไป หลังตั้งแก๊งอุ้มเรียกค่าไถ่นักธุรกิจท่องเที่ยว 20 ล้านบาท ที่สุดแล้วเหยื่อยอมจ่าย 2 ล้านบาท แลกปล่อยตัวก่อนเข้าร้องเรียนกับพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ช่วยจับกุมยกแก๊งว่า ยังเหลือผู้ต้องหาเป็นพลเรือนอีก 2 คน คือนายอุทิศ ก่อแก้ว และนายฐิติกร ชื่นอุรา ที่ยังหลบหนี ตำรวจได้แบ่งชุดสืบสวนออกติดตามจับกุมจากเบาะแสยังกบดานอยู่ในประเทศ คาดได้ตัวเร็ววันนี้
พลตำรวจตรีสุรเชษฐ์ ยืนยันไม่หนักใจ แม้ผู้ต้องหาที่เป็นนายพลทหาร,ทหารเรือและตำรวจจะได้รับการปล่อยชั่วคราวไปก่อนหน้านี้ พยานหลักฐานเอกสารทางคดีเก็บรวบรวมไว้หมดแล้ว และการจากสืบสวนพบว่าแก๊งดังกล่าว ก่อเหตุมาไม่ต่ำกว่า 10 ครั้ง มีการเรียกเงินผู้เสียหายไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท ขณะนี้มีผู้เสียหายที่ตกเป็นเหยื่อแก๊งนี้กว่า 10 ราย เข้าร้องทุกข์แล้ว 4 ราย ส่วนใหญ่เป็นชาวจีนมาทำธุรกิจทั้งในกรุงเทพฯ และพัทยา
พฤติการณ์แก๊งนี้จะแบ่งหน้าที่กันชัดเจน แผนประทุษกรรมส่วนใหญ่จะเน้นไปที่เหยื่อที่เป็นนักท่องเที่ยวหรือนักธุรกิจด้านการท่องเที่ยวชาวจีนที่มาลงทุนในประเทศไทย เพราะปัจจุบันมีชาวจีนเข้ามาทำธุรกิจที่ไทยจำนวนมาก ใช้เวลาอยู่ในไทยไม่นาน และไม่อยากมีเรื่องราว หรือคดีความในประเทศไทย โดยพันตำรวจตรีณัฐกฤษต์ ทำข้อมูลชาวจีนที่เข้ามาทำธุรกิจในประเทศมาเป็นข้อมูลก่อเหตุ จากนั้นจะออกอุบายเข้าตรวจสอบบริษัทว่ามีการจดทะเบียนถูกต้องหรือไม่ อีกทั้งทำทีตรวจสอบบัตรประชาชน โดยมีนายโก๊ะ เต็ก ชวน ชาวสิงคโปร์ ทำหน้าที่เฟ้นหาเหยื่อ เป็นล่ามพูดจากล่อมเหยื่อเพื่อให้ยอมโอนเงิน.-สำนักข่าวไทย