กรุงเทพฯ 6 ก.พ. – ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) ระบุภาคเอกชนเฝ้าระวังสถานการณ์ส่งออกปี 67 ผันผวนและคาดเดายาก แต่ประเมินปี 67 ตัวเลขส่งออกน่าจะเติบโตอยู่ที่ร้อยละ 1-2 พร้อมเสนอภาครัฐช่วยดูแลด้านดอกเบี้ยที่เป็นต้นทุนให้กับภาคเอกชนด้วย
ดร.ชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวว่า ภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือนธันวาคม 2566 กับเดือนเดียวกันของปีก่อน พบว่าการส่งออกมีมูลค่า 22,791.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัว 4.7% และมีมูลค่าในรูปเงินบาทเท่ากับ 795,824 ล้านบาท ขยายตัว 2.2% (เมื่อหักทองคำ น้ำมัน และอาวุธยุทธปัจจัย พบว่าการส่งออกในเดือนธันวาคมขยายตัว 2.1%) ในขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 21,818.8 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ หดตัว 3.1% และมีมูลค่าในรูปเงินบาทเท่ากับ 770,822 ล้านบาท หดตัว 5.3% ส่งผลให้ดุลการค้าของประเทศไทยในเดือนธันวาคม 2566 เกินดุลเท่ากับ 972.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเท่ากับ 25,002 ล้านบาท
ทัังนี้ ภาพรวมการค้าระหว่างประเทศของไทยในปี 2566 เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน พบว่า ไทยส่งออกรวมมูลค่า 284,561.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัว 1.0% และมีมูลค่าในรูปเงินบาทเท่ากับ 9,809,008 ล้านบาท หดตัว 1.5% (เมื่อหักทองคำ น้ำมัน และอาวุธยุทธปัจจัย พบว่าการส่งออกในช่วงมกราคม – ธันวาคม หดตัว 0.6%) ในขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 289,754.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัว 3.8% และมีมูลค่าในรูปเงินบาทเท่ากับ 10,111,934 ล้านบาท หดตัว 4.3% ส่งผลให้ดุลการค้าของประเทศไทยในปี 2566 ขาดดุลเท่ากับ 5,192.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 302,926 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม สรท. วางเป้าหมายการทำงานปี 2567 ผลักดันการส่งออกไทยเติบโตร้อยละ 1-2 โดยมีปัจจัยเฝ้าระวังที่อาจส่งผลกระทบ ได้แก่ 1.การเคลื่อนไหวของค่าเงินบาท ปรับตัวอ่อนค่าเล็กน้อย โดยค่าเงินบาทเคลื่อนตัวอยู่ในกรอบ 34-35 บาท และยังคงมีความไม่แน่นอนสูง 2.อัตราดอกเบี้ยนโยบายหลายประเทศยังคงทรงตัวระดับสูง ธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังคงดอกเบี้ยนโยบายต่อ คาดว่าจะมีการปรับในช่วงเดือนพฤษภาคม ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของประเทศต่างๆ ทั่วโลกยังคงทรงตัวในระดับสูงต่อเนื่อง ประกอบกับสถานการณ์ทะเลแดงอาจส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันซึ่งจะส่งผลให้สินค้าอุปโภคและบริโภคปรับสูงขึ้น นำไปสู่เงินเฟ้อที่ปรับสูงขึ้น 3.ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ที่ยืดเยื้อส่งผลกระทบต่อการค้าและเศรษฐกิจโดยรวม โดยเฉพาะสถานการณ์วิกฤตในทะเลแดง (Red sea) บริเวณช่องแคบบับ อัล-มันเดบ (Bab el-Mandeb Strait) ซึ่งเป็นเส้นทางการขนส่งสินค้าหลักไปทวีปยุโรป สหรัฐอเมริกาและตะวันออกกลาง ส่งผลให้ค่าระวางเรือปรับตัวสูงขึ้นและใช้ระยะเวลาการขนส่งสินค้านานขึ้น รวมถึงความขัดแย้งอื่น ๆ อาทิ รัสเซีย ยูเครน ทะเลจีนใต้ ยังคงมีความไม่แน่นอนสูง 4.ดัชนีภาคการผลิต (PMI) สหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น ณ ระดับ 50.3, 46.6, และ 48 ตามลำดับ มีแนวโน้มภาคการผลิตดีขึ้น แต่ต้องติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด หลายประเทศยังขยายตัวต่ำกว่าระดับ Base Line โดยเฉพาะกลุ่มประเทศยุโรปยังคงต่ำกว่าระดับ Base Line ต่อเนื่องกว่า 8 เดือน และ 5.ความกังวลเรื่องต้นทุนภาคการผลิตที่ยังมีความไม่แน่นอน อาทิ ค่าไฟฟ้า ค่าแรงขั้นต่ำ และค่าระวางเรือเส้นทางยุโรปตะวันออกกลาง สหรัฐฯ เริ่มปรับตัวสูงขึ้น
นอกจากนี้ สรท. มีข้อเสนอแนะสำคัญ ประกอบด้วย 1.พิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์เงินเฟ้อในปัจจุบัน รวมถึงกำกับดูแลเพื่อลดช่องว่าง (Spread) อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อเงินกู้และเงินฝาก 2.เร่งสนับสนุนมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการด้านสิ่งแวดล้อม อาทิ มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพและกระบวนการผลิตเพื่อรองรับมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมที่จะมีความเข้มข้นมากขึ้นในปีนี้ 3.เร่งรัดการจัดกิจกรรมส่งเสริมการส่งออกในตลาดเป้าหมายที่สำคัญ รวมถึงเร่งการเจรจาการค้าเสรี (FTA) อาทิ ไทย-EFTA และไทย-GCC เพื่อสร้างแต้มต่อและลดอุปสรรคในการเข้าถึงตลาดและแหล่งวัตถุดิบให้ผู้ประกอบการไทย และ 4.สถานการณ์ปัญหาการโจมตีเรือพาณิชย์ในพื้นที่ทะเลแดง ผู้ประกอบการส่งออกร้องขอให้มีการเรียกเก็บค่าระวางและค่าใช้จ่ายส่วนเพิ่มตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจริง ทยอยปรับขึ้นแบบขั้นบันได แจ้งให้ทราบล่วงหน้า และขอให้สายเรือเจรจากับท่าเรือเพื่อขอขยายระยะเวลา Free Time ในท่าเรือ เป็น 21 วัน (จากปกติ 3-7 วัน) เพื่อลดต้นทุนส่วนที่เกินเวลาที่กำหนดและขยายระยะเวลาการใช้ตู้คอนเทนเนอร์เพื่อลดต้นทุน Demurrage/ Detention ให้กับผู้ส่งสินค้าเป็นต้น.-514-สำนักข่าวไทย