ทลายขบวนการส่งบุหรี่หนีภาษี ส่งผ่านไปรษณีย์ เสียหายกว่า 45 ล้าน

12 ม.ค. – ตำรวจสอบสวนกลาง ทลายขบวนการส่งบุหรี่หนีภาษีจากประเทศเพื่อนบ้าน ผ่านบริษัทขนส่งไปรษณีย์ มูลค่าความเสียหายคิดเป็นค่าภาษีกว่า 45 ล้านบาท


ตำรวจสอบสวนกลาง ร่วมกับกรมสรรพสามิต ร่วมกันจับกุมนายตะวัน อายุ 55 ปี เพื่อดำเนินคดีในความผิดฐาน 1.“ช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำหรือรับไว้ โดยประการใดซึ่งของอันตนพึงรู้ว่าเป็นของอันเข้ามาในหรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักรซึ่งของที่ยังมิได้ผ่านพิธีการศุลกากร” อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ศุลกากรฯ 2. “ผู้ใดมีไว้ในครอบครองโดยไม่มีสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายซึ่งสินค้าที่มิได้เสียภาษีหรือเสียภาษีไม่ครบถ้วนหรือผู้ใดขายหรือมีไว้เพื่อขายซึ่งสินค้าที่เป็นสินค้าที่มิได้เสียภาษีหรือเสียภาษีไม่ครบถ้วน” อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2560 ​พร้อมด้วยของกลาง เป็นบุหรี่ต่างประเทศ จำนวน 4,881 คอตตอน, รถยนต์ และรถกระบะ ที่ใช้เป็นยานพาหนะในการขนส่ง

คดีนี้กองกำกับการ 2 บก.ปอศ. ได้มีการดำเนินการตามมาตรการเชิงรุก ในการป้องกันและปราบปรามสินค้าหนีภาษี เลี่ยงภาษี โดยไม่ผ่านพิธีการทางศุลกากร และภาษีสรรพสามิต เป็นเหตุให้รัฐไม่สามารถจัดเก็บภาษีได้ และได้รับความเสียหายมาโดยตลอด ซึ่งต่อมาได้ดำเนินการขยายผล กรณีที่ได้ทำการจับกุมนางศันสนี หรือเจ๊เพ็ญ ซึ่งเป็นผู้ค้าบุหรี่ต่างประเทศรายใหญ่ย่านฝั่งธนบุรี ซึ่งปฏิบัติการในครั้งนั้น ตรวจยึดบุหรี่ต่างประเทศได้จำนวน 40 ลัง หรือประมาณ 20,973 ซอง ซึ่งมีวิธีการคือ นำส่งบุหรี่ต่างประเทศมาบรรจุในกล่องพัสดุไปรษณีย์ จากนั้นจึงได้ร่วมกันเฝ้าสะกดรอยและติดตาม และได้ร่วมกันสืบสวนจนทราบว่าบุหรี่ที่มีการจำหน่ายในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ที่ได้ร่วมกันจับกุมก่อนหน้านี้นั้นมีที่มาจากประเทศเพื่อนบ้าน มีทั้งบุหรี่ที่มีการลักลอบนำเข้ามาโดยผิดกฏหมายและมีบุหรี่บางรายการเป็นบุหรี่ปลอมซึ่งมีจำนวนหลายรายการ จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปอศ.พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กรมสรรพสามิต จึงได้ร่วมกันทำการสืบสวนและเฝ้าติดตามกลุ่มเครือข่ายที่ได้สืบสวนมาก่อนหน้านี้ และพบว่าในการขนส่งจะมีวิธีการในหลบเลี่ยงการจับกุมคือ เมื่อมีการลักลอบนำเข้าบุหรี่จากประเทศเพื่อนบ้าน เข้ามาในราชอาณาจักรแล้ว ทางกลุ่มขบวนการดังกล่าวจะรีบนำมาคัดแยกใส่กล่องพัสดุ โดยการนำมาบรรจุใส่ในกล่องพัสดุไปรษณี เป็นจำนวนหลายๆกล่อง ให้มีลักษณะคล้ายกับกล่องพัสดุโดยทั่วไป เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจสอบและจับกุมจากเจ้าหน้าที่ จากการเฝ้าติดตามพบว่า กลุ่มขบวนการดังกล่าวจะนำบุหรี่ฯ ส่งมายัง ไปรษณีย์ไทย ในบริเวณ ต.ทับไทร อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี เป็นประจำเกือบทุกวัน สลับหมุนเวียนกันไป


ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กรมสรรพสามิต จึงได้ทำการวางแผนและเฝ้าสะกดรอยติดตามเพื่อจับกุมตัว และพบข้อมูลเชิงลึกว่าในการขนส่งบุหรี่ฯ ดังกล่าว ทางกลุ่มขบวนการจะใช้รถยนต์จำนวน 2 คัน คือ รถยนต์ ยี่ห้อโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ สีดำ จะใช้ในการดูต้นทางและบรรทุกบุหรี่ บางส่วนไว้ และรถยนต์ กระบะ ตู้ทึบ (ของกลางจากการตรวจยึดในคดีนี้) ใช้เป็นยานพาหนะในการขนส่งบุหรี่ ไปยังไปรษณีย์เพื่อส่งให้กับลูกค้า สำหรับรถยนต์กระบะดังกล่าวเดิมมีหมายเลขทะเบียนอีกหมายเลขหนึ่ง แต่ได้มีการเปลี่ยนป้ายทะเบียน เป็นแผ่นป้ายตามที่ตรวจยึด เพื่อหลบเลี่ยงและทำให้ยากต่อการติดตามจับกุม จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่สรรพสามิต ได้สะกดรอยติดตามรถยนต์ทั้ง 2 คัน อย่างใกล้ชิด ออกมาจากจุดคัดแยกและบรรจุพัสดุ ในพื้นที่ห่างจากพรมแดนระหว่างประเทศ ประมาณ 10 กิโลเมตร จนสามารถติดตามจับกุมได้พร้อมด้วยของกลาง เป็นบุหรี่ต่างประเทศ จำนวน 4,881 คอตตอน (จำนวน 48,810 ซอง หรือ 976,200 มวน มูลค่าความเสียหายคิดเป็นภาษี ประมาณ 45,597,780 บาท นำตัวผู้ต้องหาพร้อมด้วยของกลาง ส่งพนักงานสอบสวน ดำเนินคดีตามกฎหมาย จากการตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่าเครือข่ายดังกล่าวมีผู้ร่วมขบวนการหลายราย มีเงินหมุนเวียนใน 1 ปี ที่ผ่านมา มากกว่า 40 ล้านบาท จากนี้จะได้ทำการสืบสวนขยายผลถึงกลุ่มลูกค้า ผู้สั่งการ และผู้ร่วมขบวนการ ต่อไป

สอบถามคำให้การผู้ต้องหาเบื้องต้น ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า ซื้อบุหรี่มาจากหญิงชาวกัมพูชา ชื่อเล่นว่า “เจ๊โอน” (ไม่ทราบชื่อ – สกุลจริง) โดยสั่งซื้อมาครั้งละ ประมาณ 50-100 กล่อง (ประมาณ 4,000 -6,000 คอตตอน) โดยสั่งซื้อต่อสัปดาห์ ประมาณ 3-4 ครั้ง จากนั้น “เจ๊โอน” จะว่าจ้างให้รถบรรทุกขนส่งเอกชนส่งบุหรี่มายังบ้านพักของตน ซึ่งอยู่ในสวนลำใย จากนั้นจะนำบุหรี่ฯที่ได้มาบรรจุใส่กล่องพัสดุ ไปรษณีย์ ให้ดูเหมือนกล่องพัสดุโดยทั่วไป และจะกระจายบุหรี่ นำส่งลูกค้าตามที่ได้สั่งซื้อ สำหรับรถยนต์กระบะ ตู้ทึบที่ใช้ขนนั้น จะมีการหมุนเวียนสลับเปลี่ยนป้ายทะเบียนอยู่เสมอ และในการขนส่งบุหรี่แต่ละรอบจะมีรถยนต์ อีก 1 คัน เพื่อดูต้นทางเพื่อให้ยากต่อการติดตามจับกุม. -414-สำนักข่าวไทย


ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

สำนักสงฆ์หูตาทิพย์

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์”

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์” พระอ้างใช้สอนวิปัสสนากรรมฐาน เบื้องต้นอายัดไว้พิสูจน์ดีเอ็นเอ พร้อมเอาผิดหัวหน้าสำนักสงฆ์ ฐานนำศพเก็บไว้ในสถานที่ที่ไม่ใช่สุสานและฌาปนสถาน

“สนธิ” ยื่นถอด “ตั้ม-เดชา” ออกจากทนาย

“สนธิ ลิ้มทองกุล” หอบหลักฐานบุกสภาทนายความ ถอดทนายตั้ม-ทนายเดชา ออกจากทนาย ระบุ ได้รับมอบอำนาจจาก “มาดามอ้อย” แล้ว เดินหน้าเอาผิด ทนายตั้มแบบสุดซอย ไม่ให้มีคนตกเป็นเหยื่อผู้รู้กฎหมายอีก

รัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มยูเครน

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย แถลงยืนยันว่ารัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มภาคตะวันออกยูเครนเมื่อวานนี้ ตอบโต้ที่ยูเครนใช้ขีปนาวุธที่ได้รับมอบจากสหรัฐและอังกฤษ

ข่าวแนะนำ

โค้งสุดท้าย ศึกสองนารีชิงเก้าอี้ นายก อบจ.นครฯ

เหลือไม่ถึง 2 วันแล้ว ที่ชาวนครศรีธรรมราชจะได้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งนายก อบจ.นครฯ ศึกนี้เป็นการสู้กันเองของพรรคร่วมรัฐบาล ฝ่ายหนึ่งต้องการรักษาฐานที่มั่นไว้ให้ได้ อีกฝ่ายต้องการเจาะฐานให้แตก เพื่อหวังครองที่นั่งการเมืองระดับชาติในสมัยหน้า

ร้อนระอุโค้งสุดท้าย ศึกชิงเก้าอี้ นายก อบจ.อุดรธานี

การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ครั้งนี้ดุเดือดเกินคาด ผู้สมัครจาก 2 พรรคใหญ่ลงชิงชัย ต่างเร่งเครื่องเต็มที่ในโค้งสุดท้าย การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 24 พ.ย.นี้ ใครจะเป็นผู้คว้าชัยชนะและสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญให้จังหวัดอุดรธานี ไปติดตามจากรายงาน

ความเห็นนักวิชาการ คดีทักษิณ

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับคำร้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและพรรคเพื่อไทย ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง ขณะที่นักวิชาการชี้ว่าไม่ได้พลิกไปจากความคาดหมาย และผลจากคดีนี้ ไม่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนทางการเมือง แต่ก็ยังมีจุดเสี่ยงที่ต้องระวัง