รร.เจ ดับบลิว แมริออท 20 พ.ย.-กต.จัดประชุมทูตและกงสุลใหญ่ทั่วโลก เน้นรักษา-แสวงหาผลประโยชน์ในสภาวะโลกแตกแยก แข่งขัน มีหลายขั้วอำนาจมากขึ้น ย้ำต้องทำงานให้เร็ว คล่องตัวมากขึ้น
นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธาน เปิดการประชุมเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ทั่วโลกประจำปี 2566 ระหว่างวันที่ 19 ถึงวันที่ 24 พฤศจิกายน 2566 ซึ่งมีประเด็นที่น่าสนใจ เช่น การหารือร่วมกับผู้ช่วยทูตฝ่ายพาณิชย์และการลงทุน การหารือร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัดชายแดน การระดมสมองนโยบายการต่างประเทศของไทย ความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐฯ ไทย-จีน สถานการณ์ในเมียนมา การอพยพคนไทยในอิสราเอล การทูตเศรษฐกิจเชิงรุกเพื่อเปิดตลาดต่างแดน และการส่งเสริม Soft Power ไทย เป็นต้น
นายศรัญย์ เจริญสุวรรณ ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้จัดขึ้นครั้งแรกในช่วง 7 ปี นับตั้งแต่2559 วันนี้มีเอกอัครราชทูต กงสุลใหญ่ อุปทูตและรักษาการกงสุลใหญ่เข้าร่วม 97 คน แบ่งเป็นสถานเอกอัครราชทูต 65 แห่ง สถานกงสุลใหญ่ 28 แห่ง คณะผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติและอาเซียน 3 แห่ง รวมทั้งสำนักงานการค้าและเศรษฐกิจไทย 1 แห่ง ซึ่งหัวข้อการประชุม “การทูตเชิงรุกในโลกแบ่งขั้ว” สะท้อนแนวทางการทำงานของรัฐบาลที่มุ่งเน้นบทบาทรักษาและแสวงหาผลประโยชน์ไทยในสภาวะการของโลกแตกแยกและแข่งขันมากขึ้น ทั้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ ภูมิเศรษฐศาสตร์ ภูมิเทคโนโลยีและการเมืองระหว่างประเทศที่มีลักษณะหลายขั้วอำนาจ รวมถึงประเด็นการขับเคลื่อนนโยบายต่างประเทศที่มีความหลากหลายมากขึ้น
ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้มีวัตถุประสงค์หลัก 5 ประการคือ 1. เพื่อรับทราบแนวนโยบายด้านการต่างประเทศของรัฐบาล 2. เพื่อแลกเปลี่ยนระดมสมองกับผู้บริหารกระทรวงเพื่อวางแนวทางการดำเนินงานในประเด็นสำคัญและเร่งด่วนตามนโยบายของรัฐบาลเพื่อเป็นพื้นฐานในการจัดทำแผนงานประจำปี 2567 ถึง 2568 3. เพื่อหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในประเด็นที่สำคัญของรัฐบาลทั้งนโยบายการทูตเศรษฐกิจเชิงรุก การค้าชายแดนและข้ามแดน 4. เพื่อรับทราบพัฒนาการเกี่ยวกับ mega trend รวมทั้งนโยบายที่สำคัญเช่นนโยบาย soft power นโยบายแลนบริดจ์ การขับเคลื่อนอุตสาหกรรม และการลงทุนสีเขียว การดำเนินการเพื่อบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนและดิจิทัล economic partnership agreement และ 5.เพื่อให้เอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่รับฟังและแลกเปลี่ยนความเห็นกับภาคส่วนต่าง ๆทั้งภาควิชาการ ภาคเอกชน เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการขับเคลื่อนนโยบายให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น
ด้านนายปานปรีย์ กล่าวมอบนโยบายว่า วันนี้เป็นการประชุมประเด็นการวางตำแหน่งของไทยท่ามกลางโลกที่เปลี่ยนแปลงไปความท้าทายและโอกาส เพื่อร่วมกันกำหนดทิศทางขับเคลื่อนนโยบายการต่างประเทศสู่ยุคใหม่ เพื่อการดำเนินการทางการทูตในเชิงรุกในโลกแบ่งขั้ว การประชุมครั้งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งที่ถูกจัดขึ้น ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของบริบทโลก ซึ่งมีจุดสำคัญต่อการทูตของไทยคือควรจะวางตำแหน่งเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลง และจะแสวงหาโอกาสบริหารจัดการและบริหารจัดการของประโยชน์ภายในและนอกประเทศได้อย่างไร
“การต่างประเทศของไทยในปัจจุบันที่จะไม่ใช่ ที่เราเรียกว่าทำไปตามปกติหรือรูทีนแล้ว แต่จะดำเนินการในเชิงรุก ตอบโจทย์และตอบสนองผลประโยชน์ของประเทศ และของคนไทยให้เป็นที่ประจักษ์ เป็นรูปธรรมสามารถจับต้องได้ การทูตเศรษฐกิจเชิงรุกเป็นเครื่องมือสำคัญของการดำเนินนโยบายของรัฐบาล ที่เน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ และสร้างความกินดีอยู่ดีของประชาชน และขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้า ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนคนไทยมีส่วนร่วมและสนับสนุนการดำเนินนโยบายต่างประเทศของกระทรวงการต่างประเทศในบริบทของในประเทศ ประชาชนมีความตื่นตัว สนใจการต่างประเทศมากขึ้น การทำงานของท่านทูตและท่านกงสุลใหญ่ ต้องมีความรวดเร็วและคล่องตัวมากยิ่งขึ้น ซึ่งผมมีความเชื่อมั่นในความรู้ความสามารถ และความเป็นมืออาชีพของท่านทูตและท่านกงสุลใหญ่ ในการทำงานเพื่อขับเคลื่อนทางการทูตยุคใหม่ของไทย โดยทุกฝ่ายจะต้องผนึกกำลังให้มากขึ้น” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าว.-สำนักข่าวไทย