ย่างกุ้ง 18 พ.ย. – สหประชาชาติกล่าววันนี้ว่า การปะทะกันครั้งใหม่ในสัปดาห์นี้ระหว่างกองทัพรัฐบาลทหารเมียนมากับกลุ่มชาติพันธุ์ติดอาวุธ ทำให้ประชาชนในรัฐยะไข่ ทางตะวันตกของเมียนมา ต้องพลัดถิ่นฐานไปแล้วมากกว่า 26,000 ราย
สำนักงานเพื่อการประสานงานด้านมนุษยธรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Office for the Coordination of Humanitarian Affairs) กล่าวว่า การปะทะกันที่ยังคงดำเนินอยู่ในขณะนี้ระหว่างกองทัพอาระกันและกองทัพเมียนมา ทำให้ประชาชนทั่วรัฐยะไข่ต้องพลัดถิ่นฐาน 26,175 รายแล้ว นักรบของกองทัพอาระกันเปิดฉากโจมตีกองกำลังความมั่นคงของทางการเมียนมาในรัฐยะไข่และรัฐชิน ที่อยู่ติดกันเมื่อวันจันทร์ ซึ่งเป็นการยุติข้อตกลงหยุดยิงและเปิดแนวรบใหม่ ในขณะที่กองทัพเมียนมายังคงรบกับกลุ่มชาติพันธุ์ติดอาวุธกลุ่มอื่น ๆ ทางเหนือและทางตะวันออก
สำนักงานเพื่อการประสานงานฯ กล่าวว่า มีประชาชนอย่างน้อย 11 คน เสียชีวิตจากการยิงปืนใหญ่ของกองทัพเมียนมา ที่พยายามโจมตีเป้าหมายที่เป็นฐานที่มั่นของกองทัพอาระกันในวันจันทร์ และเมื่อวันพฤหัสบดี ทหารได้ระดมยิงปืนใหญ่ใส่เมืองปอกทอว์ (Pauktaw) ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองชิตตเว เมืองเอกของรัฐยะไข่ไปทางตะวันออกราว 25 กิโลเมตร นอกจากนั้น ยังใช้เฮลิคอปเตอร์ยิงโจมตีทางอากาศ หลังจากที่นักรบกองทัพอาระกันยึดสถานีตำรวจในเมืองนี้เป็นระยะเวลาสั้น ๆ และกองทัพเมียนมาสามารถกลับเข้ามายึดเมืองนี้ได้อีกครั้งในวันเดียวกัน และในวันศุกร์ สื่อท้องถิ่นของเมียนมารานงานอ้างคำกล่าวของชาวบ้านที่ระบุว่า มีประชาชนราว 50 คน ถูกควบคุมตัว และน่าจะมีผู้เสียชีวิตอีกหลายคน แต่ไม่ทราบจำนวน
สำนักงานเพื่อการประสานงานฯ กล่าวว่า ที่เมืองปอกทอว์ มีผู้พลัดถิ่นฐาน 19,000 ราย นอกจากนั้น ถนนเกือบทุกสายและเส้นทางน้ำที่เชื่อมต่อระหว่างเมืองต่าง ๆ ในรัฐยะไข่เกือบทุกเส้นทางถูกปิดกั้น กิจกรรมทางมนุษยธรรมในเมืองที่ได้รับผลกระทบต้องระงับไปก่อน.-สำนักข่าวไทย