“เพื่อไทย” ยังจับมือ “ก้าวไกล” แน่น 

รัฐสภา 20 ก.ค.- “นพ.ชลน่าน” ย้ำเพื่อไทย ยังจับมือก้าวไกลแน่น รอการนัดหมายจากก้าวไกลในวันนี้หรือพรุ่งนี้ ยอมรับไม่พอใจการทำงานของประธานสภาเมื่อวานนี้ ยังไม่ระบุชัดเคาะชื่อใครโหวตนายกฯ รอหารือ 8 พรรค


นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย มองเหตุการณ์การตีตกญัตติการโหวตนายกฯ เมื่อวานนี้ว่า เหตุการณ์นี้ไม่ควรเกิดขึ้น เพราะจะเป็นข้อผูกมัดในอนาคตด้วย แต่ข้อบังคับดังกล่าวอยู่ในมาตรา 272 หากเปลี่ยนแปลงข้อบังคับดังกล่าวได้ ผลผูกพันอาจจะลดลง หลังจากนี้ต้องหารือกับ 8 พรรคร่วมรัฐบาล โดยให้สิทธิพรรคก้าวไกล แต่ต้องรอพรรคก้าวไกลนัดหมายก่อน เบื้องต้นเลขาธิการพรรคทั้ง 2 พรรคได้พูดคุยกันแล้ว

ส่วนความเห็นของนายบวรศักดิ์ ถือเป็นมุมมองส่วนตัวในการวินิจฉัย ก็ได้ให้แนวทางว่าใครเป็นผู้เสียหายหรือถูกละเมิดสิทธ์ สามารถยื่นต่อผู้ตรวจการได้ แต่เป็นสิทธิของบุคคล ซึ่งกระบวนการร้องโดยหลักต้องร้องผ่านผู้ตรวจการแผ่นดิน เว้นแต่ผู้ตรวจการแผ่นดินไม่รับก็มีสิทธิร้องตรงได้


ส่วนการหารือก่อนวันที่ 27 ก.ค.นี้ ที่จะมีการนัดประชุมร่วมรัฐสภาอีกครั้ง ก็ต้องรอการนัดหมายอย่างเป็นทางการของ 8 พรรคร่วมรัฐบาล อีกครั้ง แต่จะเสนอใคร นพ.ชลน่าน ระบุว่ายังไม่สามารถฟันธงได้ อยู่ที่การหารือเป็นหลัก ซึ่งการหารืออาจจะเป็นวันนี้หรือพรุ่งนี้

ผู้สื่อข่าวถามว่า หลังจากนี้การทำงานของ 8 พรรคร่วม จะมีปัญหาหรือไม่ เนื่องจากแกนนำของพรรคก้าวไกล ไม่พอใจการทำหน้าที่ของประธานสภาเมื่อวานนี้ นพ.ชลน่าน ยอมรับว่าตนเองก็ไม่พอใจ แต่เมื่อมติออกมาก็ต้องยอมรับ อนาคตก็ต้องคุยกันอย่างจริงจัง เมื่อจะมีการแก้ไขข้อบังคับการประชุมรัฐสภา แต่สำหรับเหตุการณ์เมื่อวานนี้สะท้อนให้เห็นว่าเสียงข้างมาก ไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรม

ผู้สื่อข่าวจึงถามย้ำว่า หลังจากนี้จะทำให้กระบวนการรัฐสภา เกิดปัญหาหรือไม่ เมื่อไม่สามารถแยกได้ระหว่างญัตติ และวาระ นพ.ชลน่าน เชื่อจะมีปัญหาในอนาคต แต่บทเรียนครั้งนี้จะนำไปสู่การปรับปรุงแก้ไขได้ เพราะข้อบังคับเกิดจากสมาชิก รัฐสภา แต่ต้องเป็นไปตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ


นพ.ชลน่าน กล่าวต่อว่า เมื่อหมดวาระ สว. 11 พ.ค.67 ก็มีความชอบที่จะแก้ข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดยนำเอาเรื่องของการให้ความเห็นชอบนายกรัฐมนตรี มากำหนดไว้ในข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร อะไรที่เกี่ยวกับการประชุมก็นำไปไว้ในข้อบังคับการประชุม ส่วนอะไรที่เป็นข้อจำกัดการประชุมรัฐสภา เราก็สามารถมาบัญญัติในข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรให้ชัดแบบนี้ถือว่าทำได้

ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า เมื่อถึงคิวการเสนอชื่อของพรรคเพื่อไทย หวั่นจะเกิดการซ้ำรอย นายพิธา หรือไม่ หากรายชื่อที่เพื่อไทย นำเสนอไม่ผ่าน นพ.ชลน่าน ยอมรับว่าเมื่อข้อบังคับถูกวินิจฉัยอย่างเช่นเมื่อวาน ก็ยอมรับว่าเป็นห่วง เพื่อไทยเองถกภาระลำบาก ถ้ากรณีเราได้โอกาสเป็นแกนนำ ทั้งนี้ยอมรับ ถ้าไม่ได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย ก็ยากจะฝ่าด่านนี้ไปได้ เป็นหน้าที่ของพรรคแกนนำ ที่ต้องหาความมั่นใจ ว่าการเสนอชื่อใหม่มาจะผ่านไปได้ เพราะไม่มีใครอยากรบในสมรภูมิ ที่รบแล้วแพ้ เราเสียคนของเราไปด้วย หากมีคนเดียวแล้วเสนอซ้ำไม่ได้ก็จบ

ผู้สื่อข่าวถามว่า จะมีสมาชิกสภา ร้องการวินิจฉัยเมื่อวานนี้ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ นพ.ชลน่าน ระบุว่า ก็สมควรอะไรที่ไม่ชอบรัฐธรรมนูญ ก็มีสิทธิที่จะดำเนินการ

ส่วนที่มีกระแสข่าวว่า หากเพื่อไทยเสนอชื่อ แต่ยังจับกับก้าวไกล ก็จะไม่ผ่านรายชื่อ นพ.ชลน่าน บอกว่าส่วนตัวมองว่าเป็นเพียงกระแสข่าว ต้องไปพิสูจน์ข่าวว่าเป็นจริงหรือไม่ พร้อมย้ำว่า หลักการชนะ ไม่ได้กำหนดว่าจะมีพรรคก้าวไกล หรือไม่ เพราะวันนี้กรอบยังมี 8 พรรคร่วมรัฐบาลอยู่

ส่วนเรื่องที่หลายคนมองว่า อยากให้พรรคก้าวไกล ลดเพดาน ม.112 เพื่อจะได้เสียง สว.มากขึ้นนั้น นพ.ชลน่าน บอกว่า ตนเองสงสารพรรคก้าวไกล เพราะเงื่อนไขไม่ใช่แค่แก้ไข ม.112 วันนี้มากกว่านั้น และเพื่อไทยเองไม่มีความคิดไปก้าวล่วงสิทธิและเสรีภาพของก้าวไกล เป็นพรรคร่วมก็จริง แต่การจะบอกให้ไปลดเพดานคงไม่ได้ เพราะอยู่ที่การตัดสินใจของแต่ละกลุ่ม ทั้งนี้ทิศทางอนาคตในเรื่องการโหวต ยังไม่สามารถตอบได้ ขอให้ไปถึงจุดนั้นก่อน ถึงจะบอกวิธีคิดได้ ทั้งนี้ ประเด็นการพูดคุยกับ สว. เพื่อหาเสียงเพิ่ม นพ.ชลน่าน ระบุว่า ยังไม่มีการพูดคุย รอให้มีกระบวนการก่อนว่าใครจะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ย้ำต้องเสนอชื่อวันที่ 27 ก.ค.นี้ ส่วนจะเป็นใครต้องรอ

นพ.ชลน่าน ระบุถึงกรณีพลตำรวจเอก เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ไม่ร่วมโหวตเมื่อวานนี้ ตนทราบว่ามีการออกไปก่อนเลยไม่ได้โหวต แต่ไม่ได้มีผลอะไร เพราะเป็นคนละประเด็นกับการเห็นชอบนายกรัฐมนตรี รวมถึงประเด็นที่มีการวิจารณ์พรคก้าวไกลอยากหนักถึงขั้นให้ไปเป็นพรรคฝ่ายค้านนั้น เรื่องดังกล่าวนี้กระบวนการการทำงานร่วมกันความคิดความเห็น เป็นสิทธิเสรีภาพ จะถือเป็นความเห็นรวมไม่ได้ ส่วนที่บอกว่าอยากให้พรรคก้าวไกลเป็นฝ่ายค้าน ก็เป็นความเห็นท่าน ตนไม่สามารถวิเคราะห์แทนได้

ส่วนกรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่บอกว่า 8 พรรคร่วมติดกระดุมผิดตั้งแต่เม็ดแรกนั้น คงแล้วแต่มุมมอง จะสรุปว่าผิดหรือไม่จะต้องดูข้อเท็จจริง และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ให้ดูเป็นเรื่องๆ ไป ความเห็นต่างเป็นสีสันของระบอบประชาธิปไตย ทั้งนี้จากเหตุการณ์เมื่อวานเป็นเพราะ 8 พรรคร่วมแพ้ จึงถูกมองว่าเราติดกระดุมผิด แต่หากเราชนะก็จะมีการมองอีกแบบ .-สำนักข่าวไทย   

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

สำนักสงฆ์หูตาทิพย์

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์”

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์” พระอ้างใช้สอนวิปัสสนากรรมฐาน เบื้องต้นอายัดไว้พิสูจน์ดีเอ็นเอ พร้อมเอาผิดหัวหน้าสำนักสงฆ์ ฐานนำศพเก็บไว้ในสถานที่ที่ไม่ใช่สุสานและฌาปนสถาน

“สนธิ” ยื่นถอด “ตั้ม-เดชา” ออกจากทนาย

“สนธิ ลิ้มทองกุล” หอบหลักฐานบุกสภาทนายความ ถอดทนายตั้ม-ทนายเดชา ออกจากทนาย ระบุ ได้รับมอบอำนาจจาก “มาดามอ้อย” แล้ว เดินหน้าเอาผิด ทนายตั้มแบบสุดซอย ไม่ให้มีคนตกเป็นเหยื่อผู้รู้กฎหมายอีก

รัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มยูเครน

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย แถลงยืนยันว่ารัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มภาคตะวันออกยูเครนเมื่อวานนี้ ตอบโต้ที่ยูเครนใช้ขีปนาวุธที่ได้รับมอบจากสหรัฐและอังกฤษ

ข่าวแนะนำ

โค้งสุดท้าย ศึกสองนารีชิงเก้าอี้ นายก อบจ.นครฯ

เหลือไม่ถึง 2 วันแล้ว ที่ชาวนครศรีธรรมราชจะได้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งนายก อบจ.นครฯ ศึกนี้เป็นการสู้กันเองของพรรคร่วมรัฐบาล ฝ่ายหนึ่งต้องการรักษาฐานที่มั่นไว้ให้ได้ อีกฝ่ายต้องการเจาะฐานให้แตก เพื่อหวังครองที่นั่งการเมืองระดับชาติในสมัยหน้า

ร้อนระอุโค้งสุดท้าย ศึกชิงเก้าอี้ นายก อบจ.อุดรธานี

การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ครั้งนี้ดุเดือดเกินคาด ผู้สมัครจาก 2 พรรคใหญ่ลงชิงชัย ต่างเร่งเครื่องเต็มที่ในโค้งสุดท้าย การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 24 พ.ย.นี้ ใครจะเป็นผู้คว้าชัยชนะและสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญให้จังหวัดอุดรธานี ไปติดตามจากรายงาน

ความเห็นนักวิชาการ คดีทักษิณ

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับคำร้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและพรรคเพื่อไทย ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง ขณะที่นักวิชาการชี้ว่าไม่ได้พลิกไปจากความคาดหมาย และผลจากคดีนี้ ไม่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนทางการเมือง แต่ก็ยังมีจุดเสี่ยงที่ต้องระวัง