“สมคิด” เสนอนายกฯ ใช้ ม.44 เร่งรถไฟไทย-จีน

กรุงโตเกียว 7 มิ.ย. – รองนายกรัฐมนตรีเตรียมเสนอนายกรัฐมนตรีใช้ ม.44 เร่งรัดก่อสร้างรถไฟไทย-จีน ขณะที่คมนาคมพร้อมร่วมกับญี่ปุ่นพัฒนารถไฟความเร็วสูงอีกหลายเส้นทาง


นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยระหว่างการเดินทางเยือนญี่ปุ่นอย่างเป็นทางการ เพื่อเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมระดับสูงไทย-ญี่ปุ่น วันที่ 7 มิถุนายน ว่า เตรียมเสนอให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ออกคำสั่งใแก้ไขปัญหาอุปสรรคหลายด้าน เพื่อดำเนินโครงการรถไฟไทย-จีนให้มีความรวดเร็วและมีความคืบหน้า หวังนำไปหารือกับจีนในการประชุมระดับผู้นำกลุ่มบริคส์ ประกอบด้วย บราซิล อินเดีย รัสเซีย จีน และแอฟริกาใต้ ที่ประเทศจีน เดือนกันยายนนี้ เนื่องจากกฎหมายหลายด้านมีข้อติดขัด จึงจำเป็นต้องขอให้นายกรัฐมนตรีใช้อำนาจพิเศษ เพื่อทำให้ทุกอย่างมีความคืบหน้าหลังจากล่าช้ามานาน 

สำหรับสถานการณ์เศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2560 มั่นใจว่าจีดีพีเติบโตได้มากกว่าร้อยละ 3.5 แม้มีปัญหาเชิงการเมือง เพราะการส่งออกการขยายตัวถึงร้อยละ 8 จึงต้องการดูแลการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก ขณะนี้ กระทรวงการคลังกำลังศึกษาแนวทางการเติมเงินให้ผู้มีรายได้น้อยโดยเฉพาะผู้ปกครองและผู้ที่ต้องเลี้ยงดูพ่อแม่ เพื่อลดภาระให้กับผู้มีรายได้น้อย คาดว่าจะสรุปได้เร็วๆ นี้


นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า เสนอให้นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ตรวจสอบรายละเอียดโครงการรถไฟไทย-จีน เพื่อพิจารณาดูว่าต้องใช้อำนาจพิเศษตามมาตรา 44 เพื่อแก้ไขปัญหาส่วนใดบ้าง สำหรับปัญหาเรื่องวิศวกรต้องผ่านมาตรฐานของไทยนั้น ได้หารือร่วมกับสภาวิศวกรและสภาสถาปนิกไทย เพื่อลดอุปสรรคทั้งหมด เตรียมจัดทำรายละเอียดทั้งหมดเพื่อเสนอให้ ครม.พิจารณาเพื่อให้ไทยสามารถลงนามสัญญาที่ 1 ในเรื่องของการออกแบบให้ได้ภายในเดือนกรกฎาคมนี้  

สำหรับการเดินทางมาญี่ปุ่นครั้งนี้ นายสมคิด ได้หารือกับผู้บริหารฮิตาชิ เนื่องจากปรับโครงสร้างธุรกิจหันมาเน้นทางด้านหัวรถจักร ตู้โดยสารรถไฟฟ้า 133 ตู้ ระบบอาณัติสัญญาณ ระบบการเดินรถ จึงต้องการดึงให้ฮิตาชิเข้ามาตั้งโรงงานผลิตขบวนตู้รถไฟฟ้าและชิ้นส่วน อุปกรณ์ หากมีความต้องการมากกว่า 1,000 ตู้ จึงมีแนวโน้มการเข้ามาตั้งฐานการผลิตในประเทศไทย จึงต้องร่วมจัดทำยุทธศาสตร์ CLMVT ด้านคมนาคมขนส่งสินค้า เพื่อกระจายระบบรางออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน สำหรับเส้นทางสร้างรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-พิษณุโลก ทางญี่ปุ่นศึกษาแล้วต้องการเปลี่ยนเส้นทางผ่านจังหวัดนครสวรรค์ เพราะมีความเป็นไปได้มากกว่าจังหวัดพิษณุโลก คาดว่าจะสรุปได้ภายในสิ้นปีนี้ นอกจากนี้ ญี่ปุ่นแสดงความสนใจพัฒนาเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก-ตะวันตก จากจังหวัดมุกดาหาร-นครสวรรค์-บ้านไผ่- แม่สอด รองรับการขนส่งสินค้าจากเวียดนามผ่านไทยไปเมียนมาร์ กำลังพิจารณาช่วงบางไผ่เพิ่ม  สำหรับข้อเสนอของญี่ปุ่นต้องการสร้างรถไฟฟ้าจากพระนครศรีอยุธยาต่อไปยังภาคตะวันออกพร้อมนำไปศึกษาเพิ่ม.- สำนักข่าวไทย


ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

สำนักสงฆ์หูตาทิพย์

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์”

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์” พระอ้างใช้สอนวิปัสสนากรรมฐาน เบื้องต้นอายัดไว้พิสูจน์ดีเอ็นเอ พร้อมเอาผิดหัวหน้าสำนักสงฆ์ ฐานนำศพเก็บไว้ในสถานที่ที่ไม่ใช่สุสานและฌาปนสถาน

“สนธิ” ยื่นถอด “ตั้ม-เดชา” ออกจากทนาย

“สนธิ ลิ้มทองกุล” หอบหลักฐานบุกสภาทนายความ ถอดทนายตั้ม-ทนายเดชา ออกจากทนาย ระบุ ได้รับมอบอำนาจจาก “มาดามอ้อย” แล้ว เดินหน้าเอาผิด ทนายตั้มแบบสุดซอย ไม่ให้มีคนตกเป็นเหยื่อผู้รู้กฎหมายอีก

รัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มยูเครน

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย แถลงยืนยันว่ารัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มภาคตะวันออกยูเครนเมื่อวานนี้ ตอบโต้ที่ยูเครนใช้ขีปนาวุธที่ได้รับมอบจากสหรัฐและอังกฤษ

ข่าวแนะนำ

โค้งสุดท้าย ศึกสองนารีชิงเก้าอี้ นายก อบจ.นครฯ

เหลือไม่ถึง 2 วันแล้ว ที่ชาวนครศรีธรรมราชจะได้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งนายก อบจ.นครฯ ศึกนี้เป็นการสู้กันเองของพรรคร่วมรัฐบาล ฝ่ายหนึ่งต้องการรักษาฐานที่มั่นไว้ให้ได้ อีกฝ่ายต้องการเจาะฐานให้แตก เพื่อหวังครองที่นั่งการเมืองระดับชาติในสมัยหน้า

ร้อนระอุโค้งสุดท้าย ศึกชิงเก้าอี้ นายก อบจ.อุดรธานี

การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ครั้งนี้ดุเดือดเกินคาด ผู้สมัครจาก 2 พรรคใหญ่ลงชิงชัย ต่างเร่งเครื่องเต็มที่ในโค้งสุดท้าย การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 24 พ.ย.นี้ ใครจะเป็นผู้คว้าชัยชนะและสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญให้จังหวัดอุดรธานี ไปติดตามจากรายงาน

ความเห็นนักวิชาการ คดีทักษิณ

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับคำร้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและพรรคเพื่อไทย ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง ขณะที่นักวิชาการชี้ว่าไม่ได้พลิกไปจากความคาดหมาย และผลจากคดีนี้ ไม่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนทางการเมือง แต่ก็ยังมีจุดเสี่ยงที่ต้องระวัง