ทำเนียบฯ 20 มี.ค. -บอร์ดบีโอไอ อนุมัติลงทุนกว่า 5 หมื่นล้านบาท เน้นกลุ่ม โครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานและดิจิทัล หลังอเมซอน เว็บ เซอร์วิส ประกาศลงทุนระบบคลาวด์ในไทย 1.9 แสนล้านบาท ระยะ 15 ปี
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ครั้งที่ 2/2566 นัดสุดท้ายของรัฐบาล อนุมัติส่งเสริมการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ รวมมูลค่า 56,615 ล้านบาท เพื่อเสริมความแข็งแกร่งโครงสร้างพื้นฐานในด้านพลังงานของประเทศ เช่น โครงการท่าเทียบเรือขนถ่ายก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) มูลค่าเงินลงทุน 32,710 ล้านบาท และโครงการโรงไฟฟ้าระบบCogeneration ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนระหว่างไทยและสิงคโปร์ มูลค่าเงินลงทุน 5,005 ล้านบาท
รวมทั้งยังได้อนุมัติให้การส่งเสริมกิจการดาต้า เซ็นเตอร์ ขนาดใหญ่ 2 ราย มูลค่าเงินลงทุนรวม 10,371 ล้านบาท โดยหนึ่งในนั้นเป็นโครงการร่วมทุนระหว่างอังกฤษและสิงคโปร์ เป็นกิจการดาต้า เซ็นเตอร์ เน้นความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมและจะใช้พลังงานหมุนเวียน เพื่อลด Carbon Footprint ด้วย ทั้งนี้ เพื่อตอบสนองการเติบโตอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมดิจิทัล โดยเฉพาะความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นสำหรับบริการด้านการจัดการและจัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ขององค์กรทั้งในและต่างประเทศ และการใช้งานแพลตฟอร์มต่าง ๆ
ที่ประชุมได้อนุมัติส่งเสริมโครงการขนาดใหญ่อื่น ๆ เช่น โครงการผลิตเหล็กแผ่นรีดเย็นเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตชิ้นส่วนต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมยานยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้า โครงการผลิตโลหะทองคำและเงินภายใต้รูปแบบโลหะผสม และโครงการกำจัดของเสียอุตสาหกรรม มูลค่าเงินลงทุนรวมกว่า 8,500 ล้านบาท เพื่อช่วยเสริมความแข็งแกร่งด้านโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ทั้งพลังงาน และดิจิทัล รวมทั้งกิจการสนับสนุนภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ รวมถึงการโยกย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทย เพื่อให้เป็นฐานธุรกิจหลักในภูมิภาค อีกทั้งจะช่วยเสริมสร้างศักยภาพในการเป็นดิจิทัลฮับของประเทศไทย หลังจากที่ก่อนหน้านี้บริษัท อเมซอน เว็บ เซอร์วิส (AWS) ได้ประกาศลงทุนโครงสร้างพื้นฐานระบบคลาวด์ในไทยด้วยเงินลงทุนที่สูงถึง 1.9 แสนล้านบาท ในระยะ 15 ปี
ที่ประชุมยังเร่งรัดติดตามความคืบหน้าการปรับปรุงกลไกการอำนวยความสะดวก เพื่อส่งเสริมการลงทุนกิจการสำนักงานภูมิภาค โดยตั้งแต่ต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา บีโอไอ ร่วมกับกรมสรรพากร กรมพัฒนาธุรกิจการค้า และธนาคารแห่งประเทศไทย ได้เปิดให้บริการระบบ HQ Biz Portal เป็นศูนย์รวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งสำนักงานภูมิภาค เพื่อเสริมสร้างความโดดเด่นของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางธุรกิจของภูมิภาค อีกทั้งช่วงนี้เป็นจังหวะที่เหมาะสมที่จะเร่งโหมดึงบริษัทชั้นนำให้เข้ามาตั้งสำนักงานภูมิภาคในไทยมากขึ้น
ทั้งนี้ บีโอไอได้ส่งเสริมการลงทุนกิจการสำนักงานภูมิภาคมาตั้งแต่ปี 2543 มีโครงการที่ได้รับการส่งเสริมกว่า 500 โครงการ รวมมูลค่าการลงทุนกว่า 13,000 ล้านบาท โดยบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นมีสัดส่วนโครงการที่ได้รับการส่งเสริมสูงสุด ร้อยละ 40 รองลงมา ได้แก่ สหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ และฮ่องกง ตามลำดับ โดยอุตสาหกรรมที่ได้รับการส่งเสริม3 อันดับแรก ได้แก่ ยานยนต์ เครื่องจักรกลและอุปกรณ์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ตามลำดับ
ที่ประชุมยังได้เพิ่มเติมและปรับปรุงอุตสาหกรรมเป้าหมาย เพื่อรับรองคุณสมบัติแก่ชาวต่างชาติที่มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษในสาขาที่ประเทศยังขาดแคลน (Highly Skilled Professional) รวม 15 สาขา ได้แก่ 1) อุตสาหกรรมยานยนต์2) อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ 3) อุตสาหกรรมท่องเที่ยวระดับคุณภาพ 4) อุตสาหกรรมการเกษตร อาหารและเทคโนโลยีชีวภาพ 5) อุตสาหกรรมขนส่งและโลจิสติกส์ 6) อุตสาหกรรมระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ 7) อุตสาหกรรมการบิน อากาศยานและอวกาศ 8) อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ 9) อุตสาหกรรมปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ 10) อุตสาหกรรมดิจิทัล 11) อุตสาหกรรมการแพทย์ 12) อุตสาหกรรมการป้องกันประเทศ 13) อุตสาหกรรมที่สนับสนุนเศรษฐกิจหมุนเวียนโดยตรง เช่น การผลิตเชื้อเพลิงจากขยะ การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ 14) ศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ (IBC) 15) อุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่ต้องทำงานโดยใช้ทักษะเชี่ยวชาญพิเศษในด้านใดด้านหนึ่ง เช่นนักวิจัยในสาขาอุตสาหกรรมหรือเทคโนโลยีเป้าหมาย หรือผู้เชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ ทั้งเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ระบบดิจิทัล การเงิน สิ่งแวดล้อมและพลังงาน ผู้เชี่ยวชาญในโครงการบ่มเพาะสตาร์ทอัป รวมทั้งองค์กรส่งเสริมการค้าและการลงทุนจากต่างประเทศ
ทั้งนี้ การเพิ่มและปรับปรุงอุตสาหกรรมเป้าหมายของ LTR Visa ในครั้งนี้ เพื่อให้ครอบคลุมอุตสาหกรรมเป้าหมายและทักษะความเชี่ยวชาญในสาขาที่มีความสำคัญและประเทศยังขาดแคลน โดยเปิดโอกาสให้ชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงกลุ่มนี้ สามารถได้รับ LTR Visa เพื่อเข้ามาทำงานร่วมกับบุคลากรไทย ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการถ่ายทอดองค์ความรู้ และการพัฒนาเศรษฐกิจการลงทุนของไทยได้ในระยะยาว โดยปัจจุบันมีชาวต่างชาติมายื่นขอLTR Visa แล้วกว่า 3,000 ราย ส่วนใหญ่เป็นชาวอเมริกัน จีน และยุโรป
นายกรัฐมนตรียังได้ติดตามสถานการณ์การเงินการคลังของไทย โดยกระทรวงการคลังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยืนยันขณะนี้ฐานะการเงินการคลังประเทศไทยยังมีความเข้มแข็ง รวมถึงนายกรัฐมนตรีได้ย้ำถึงความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพต่าง ๆ และโครงสร้างพื้นฐานด้านระบบดิจิทัลของไทย ที่รัฐบาลได้วางรากฐานและดำเนินการอย่างต่อเนื่องสำหรับประชาชนในการพัฒนาประเทศไปสู่อนาคตให้เกิดความมั่นคง มั่งคง และยั่งยืน โดยย้ำขอให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสร้างการรับรู้ในสิ่งเหล่านี้ให้ประชาชนได้รับทราบอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงและนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มศักยภาพในการพัฒนาตนเอง สร้างอาชีพและรายได้ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น รวมไปถึงทำให้เกิดการพัฒนาในพื้นที่ต่าง ๆ ของประเทศเพื่อร่วมกันขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่อนาคตตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ .-สำนักข่าวไทย