สถาบันบำราศนราดูร 14 มี.ค.- สาธารณสุขไทย-สหรัฐ ย้ำความสัมพันธ์ด้านการควบคุมเฝ้าระวังโรคติดเชื้อ ในโอกาสครบรอบ 190 ปี ไทย-สหรัฐ และ 43 ปี ของความร่วมมือด้านสาธารณสุข พร้อมเตรียมรับกับการต่อสู้ป้องกันโรคอุบัติใหม่ในอนาคตร่วมกัน ส่วนการป้องกันโควิด ทาง CDC มองว่า การรับวัคซีนเข็มกระตุ้นยังจำเป็น โดยเฉพาะคนสูงอายุ 65 ปีขึ้น และทิศทางวัคซีนโควิด จะผลิตให้ครอบคลุมเชื้อโคโรนาทุกตัว
นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นายโรเบิร์ต เอฟ.โกเดค เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทย และ พญ.โรเชล วาเลนสกี ผอ.ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา (CDC) เยี่ยมชมสถาบันบำราศนราดูร พร้อมร่วมกันแถลงข่าว 190 ปี และ 43 ปี ความร่วมมือด้านสาธารณสุขระหว่างกระทรวงสาธารณสุขไทยและสหรัฐ โดยย้ำว่า ไทยและสหรัฐมีความร่วมมืออันดีมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นด้านการค้า การลงทุน หรือแม้แต่การฝึกคอบบร้าโกลด์ และแม้แต่เรื่องของสุขภาพก็มีความร่วมมือกันมาโดยตลอด ตั้งแต่สมัยพบการระบาดของโรคซาร์ส และการเสียชีวิตของ นพ.คาร์โล เออบานนนี่ แพทย์ขององค์การอนามัยโลก ซึ่งเป็นผู้ส่งสัญญาณเตือนภัยของโรคซาร์ส และจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ และเกิดระบบเฝ้าระวัง ป้องกันโรคติดเชื้อที่ปัจจุบันก็ครบรอบมากว่า 20 ปีแล้ว โดยความร่วมมือระหว่างไทย และสหรัฐจากนี้จะเน้นเรื่องของการเตรียมความพร้อมรับมือกับโรคติดเชื้ออุบัติใหม่ และอุบัติซ้ำในอนาคต และผสานความร่วมมือกัน
พญ.โรเชล กล่าวว่า สำหรับการประเมินสถานการณ์ของโรคติดเชื้อโควิด-19 นั้น ทางซีดีซี แนะนำว่ายังต้องให้วัคซีนเข็มกระตุ้นต่อไป แม้ว่าสถานการณ์ในขณะนี้ทั่วโลกจะดีขึ้น โดยคนกลุ่มเสี่ยงสูงอายุ 65 ปีขึ้นไป ต้องรับวัคซีนเข็มกระตุ้น โดยปัจจุบันทิศทางการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 จะเน้นการพัฒนาให้มีความครอบคลุมในเชื้อโคโรนาทุกตัว ไม่จำกัดแต่สายพันธุ์ใดสายพันธุ์หนึ่งอีกต่อไป ก็เหมือนกับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ที่มีการฉีดในปัจจุบัน.-สำนักข่าวไทย