กรุงเทพฯ 30 พ.ย. – Fitch Ratings คงอันดับความน่าเชื่อถือไทย BBB+ คงมุมมองความน่าเชื่อถือมีเสถียรภาพ คาดจีดีพีไทยปี 65 เติบโตร้อยละ 3.3
นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า บริษัท Fitch Ratings (Fitch) คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ BBB+ และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Outlook) อยู่ในระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) โดย Fitch คาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 2565 จะเติบโตที่ร้อยละ 3.3 และขยายตัวต่อเนื่องร้อยละ 3.8 ในปี 2566 สูงกว่ากลุ่มประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือระดับเดียวกัน (Peer) ที่มีค่าเฉลี่ยร้อยละ 2 โดยมีปัจจัยสนับสนุนสำคัญ คือการฟื้นตัวอย่างมากของภาคการท่องเที่ยว
คาดว่านักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นจาก 10.3 ล้านคน ในปี 2565 เป็น 24 ล้านคน ในปี 2566 หลังเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ การประกาศปรับโรค COVID-19 จากการเป็นโรคติดต่อร้ายแรง (Pandemic) เป็นโรคประจำถิ่น (Endemic) การใช้จ่ายในประเทศปรับตัวดีขึ้น ขณะที่ภาคการคลังสาธารณะอยู่ในระดับบริหารจัดการได้ พื้นฐานเศรษฐกิจไทยเข้มแข็ง Fitch ยังคาดว่าการขาดดุลงบประมาณของไทยมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง จากร้อยละ 6.8 ในปี 2564 เป็นร้อยละ 4.9 และ 3.8 ในปี 2565 และ 2566 ตามลำดับ การขาดดุลดังกล่าวจะทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP อยู่ในระดับมีเสถียรภาพ ฐานะทางการคลัง รองรับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดในอนาคต (Shock) โดยหนี้สาธารณะคงค้างส่วนใหญ่เป็นหนี้สกุลเงินบาท จึงช่วยลดความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน และคาดว่ารัฐบาลจะสามารถจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้นเมื่อเศรษฐกิจเติบโตอย่างมั่นคง
สำหรับภาคการเงินต่างประเทศ นับว่ามีความเข้มแข็งและยืดหยุ่น แม้ในปี 2565 ประเทศไทยขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ร้อยละ 3.2 แต่ Fitch คาดว่าดุลบัญชีเดินสะพัดจะกลับมาเกินดุล (Surplus) เป็นร้อยละ 1.9 และ 3.7 ในปี 2566 และ 2567 ตามลำดับ จากภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งมีทุนสำรองระหว่างประเทศเพียงพอ
สำหรับการใช้จ่ายในปี 2566 จำนวน 6.9 เดือน ซึ่งสูงกว่า Peers ที่มีค่าเฉลี่ย 5.6 เดือน โดยประเด็นที่ Fitch ให้ความสนใจและจะติดตามอย่างใกล้ชิด คือ การดำเนินมาตรการด้านอัตราเงินเฟ้อ สัดส่วนหนี้ภาคครัวเรือนต่อ GDP และการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง.-สำนักข่าวไทย