รัฐสภา 2 พ.ย.- ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีมติ 196 ต่อ 194 เสียง งดออกเสียง 15 เสียง คว่ำร่าง พ.ร.บ.สุราก้าวหน้า ฉบับของพรรคก้าวไกล โดยมีคะแนนห่างกันเพียง 2 คะแนน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประชุมสภาผู้แทนราษฎร วันนี้ (2 พ.ย.65) ที่ประชุมพิจารณาร่างพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต หรือร่าง พ.ร.บ.สุราก้าวหน้า ฉบับของพรรคก้าวไกล ในวาระที่ 2 และวาระที่ 3 ซึ่งร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว มีทั้งสิ้น 7 มาตรา สาระสำคัญคือ การเปิดโอกาสให้ผู้ผลิตรายย่อยสามารถผลิตสุราและจำหน่ายเองได้ ลดการผูกขาด จากกลุ่มทุน กระจายรายได้ เพิ่มการแข่งขันในตลาด สร้างตัวเลือกให้กับผู้บริโภคเพิ่มขึ้น
นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล อภิปรายชี้ว่า พ.ร.บ.สุราก้าวหน้า ในมาตราที่ 3 ว่าการประชุมของสภาฯ เพื่อพิจารณากฎหมายในวันนี้ เป็นการประชุมเพื่อพิจารณากฎหมายเพื่อนำสภาพข้อเท็จจริงและศักยภาพของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมสุรามาเทียบกับร่างกฎหมายและกฎกระทรวงว่า สิ่งใดที่เหมาะสมกับประเทศและศักยภาพของประเทศ ไม่ว่าจะยิน (Gin) หรือ รัม (Rum) ที่จังหวัดเชียงใหม่ หนองคาย สงขลา สุราษฎร์ธานี ล้วนเป็นผู้ประกอบการระดับโลกที่ชนะการประกวด ไม่ว่าจากที่กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น หากแบรนด์ไทยที่ไปชนะการประกวดระดับโลกใช้กฎกระทรวงเข้ามาควบคุมจะไม่ได้รับการปลดล็อก เนื่องจากกฎกระทรวงคือการเปลี่ยนล็อกจากล็อกเก่าเป็นล็อกใหม่ แต่สำหรับร่างกฎหมายฉบับนี้จะเป็นการปลดล็อกโดยแท้จริง
ซึ่งเมื่ออุตสาหกรรมไทยสามารถก้าวสู่ระดับโลกแล้ว กลับควบคุมโดยกฎกระทรวงที่มีวิธีคิดจากราชการ หรือสรรพสามิตเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถปลดปล่อยศักยภาพของพี่น้องประชาชน อุตสาหกรรมไทย และวัตถุดิบ ไม่ว่าจะเป็นข้าว มันสำปะหลัง อ้อย หรือข้าวโพดได้ สำหรับนโยบายสุราก้าวหน้า ไม่ใช่นโยบายเพียงเพื่อการผลิต แต่เป็นนโยบายเพื่อเศรษฐกิจ การเกษตร และการท่องเที่ยวด้วย
ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องสนับสนุนร่างพระราชบัญญัติที่แก้ไขโดยคณะกรรมาธิการ ซึ่งการที่จะปลดปล่อยศักยภาพได้ รัฐต้องเล็ก รัฐจะใหญ่ไม่ได้ ซึ่งจะทำให้ศักยภาพไปต่อไม่ได้ เช่น เปลี่ยนเรื่องการจดแจ้งของคณะกรรมาธิการไปเป็นการอนุญาต ตามกฎกระทรวงก็ถือเป็นเรื่องที่ยากแล้ว ตนคงไม่มีโอกาสที่จะได้อภิปรายร่างนี้ไปจนถึงวาระที่ 3 ได้ สำหรับทุกคนที่อยู่ในที่นี้ การโหวต 1 ครั้ง พันครั้ง หรือบางคนเป็นหมื่นครั้ง ไม่ได้มีความหมายมากมายขนาดนั้น แต่สำหรับผู้ประกอบการ เกษตรกร และคนรุ่นใหม่ที่อยู่ในวงการ นี่คือความฝัน พอโหวตเสร็จก็คงกลับไปกินไวน์ฝรั่งเศส สาเกญี่ปุ่น โซจูเกาหลี ปลายปีนี้ก็อาจจะเตรียมตัวเดินทางปีใหม่ ไปเที่ยวไร่องุ่นไวน์ที่อเมริกา หรือไปกินเตกิลา หรือเหล้าข้าวโพดที่เม็กซิโก แต่สำหรับเกษตรกร คนรุ่นใหม่ที่เป็นผู้ประกอบการ คนที่อยู่ในวงการสุราขนาดย่อย นี่คือความฝันของพวกเขา สำหรับเกษตรกร ผู้ประกอบการที่สู้กันมาเป็น 30-40 ปี ตั้งแต่เครือข่ายเหล้าไทยสมัยที่ตนยังเด็กจนถึงทุกวันนี้ นี่เป็นโค้งสุดท้ายของเขาที่จะทำให้เขามีความฝันอยู่ในประเทศนี้
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้เข้าสู่การพิจารณารายมาตรา วาระที่ 2 โดยมีการอภิปรายจำนวนมาก ในมาตรา 3 เกี่ยวกับเงื่อนไขขออนุญาตผลิตสุราเพื่อการค้า โดยการอภิปรายส่วนใหญ่ สมาชิกแสดงความเห็นต่อร่างมาตรา 3 เปรียบเทียบกับกฎกระทรวงการผลิตสุรา พ.ศ. 2565 ซึ่งลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2565 โดยสนับสนุนการแก้ไขของกรรมาธิการฯ แต่ไม่เห็นด้วยกับกฎกระทรวงดังกล่าว เพราะยังมีเนื้อหาที่กีดกันการแข่งขันการผลิตสุราที่เสรีเป็นธรรม พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า รัฐบาลเร่งออกกฎกระทรวงดังกล่าว เพื่อให้เป็นข้ออ้างของการคว่ำร่างกฎหมายสุราก้าวหน้าของพรรคก้าวไกล
นายนิยม เวชกามา ส.ส.สกลนคร พรรคเพื่อไทย อภิปรายว่า มีกระแสข่าวว่า รัฐบาลจะทำให้ร่างกฎหมายฉบับดังกล่าวตก เพราะเป็นร่างกฎหมายของพรรคก้าวไกล ทั้งนี้ ตนสนับสนุนให้การผลิตสุราชุมชน เพื่อยกระดับราคาข้าว ปัจจุบันข้าวเปลือก กิโลกรัมละ 7 บาท หากให้ประชาชนทำสุราของตนเอง จะเพิ่มราคาข้าวเปลือกเป็นกิโลกรัมละ 20 บาท หากร่างกฎหมายนี้ตก ตนเสียดาย และกรรมาธิการเสียเวลาทำกฎหมายอย่างยิ่ง
ด้านนายเกียรติ สิทธีอมร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า ที่ผ่านมาเห็นชัดว่ามีการผูกขาดและกีดกัน แต่กฎหมายฉบับนี้เป็นการแก้ไม่ให้มีการกีดกันและผูกขาด กฎกระทรวงที่ออกมาเมื่อวาน (1 พ.ย.) ทำให้มีคำถามว่า จำเป็นหรือไม่ที่ยังต้องแก้กฎหมาย แต่กฎกระทรวงเป็นเพียงวิธีปฏิบัติ แต่ถ้าเราไม่มีกฎหมายที่ระบุชัดเจนว่า วิธีปฏิบัติต้องยึดโยงกับหลักการอะไร ก็จะทำให้อำนาจของการกำกับไม่จำเป็นต้องเป็นไปตามกฎหมายก็ได้ และฝ่ายบริหารสามารถเปลี่ยนใจได้หาก พ.ร.บ.ฉบับนี้ไม่ผ่านสภาฯ วันนี้ใช้กฎกระทรวงที่เพิ่งออกมา พรุ่งนี้แก้ใหม่ก็ได้ เพราะไม่มีความจำเป็นต้องยึดโยงหลักการของกฎหมาย ซึ่งกฎกระทรวงเปลี่ยนเมื่อไหร่ก็ได้ แต่กฎหมายถ้าจะแก้ต้องมาที่สภาฯ และกฎกระทรวงแทนกฎหมายไม่ได้ ดังนั้น ตอนนี้ถึงเวลาที่เราต้องตัดสินใจว่า เราอยากจะเห็นกฎหมายนี้ให้ความเป็นธรรมกับประชาชนหรือไม่ แต่หลักนี้ต้องไม่ใช่เป็นเรื่องของกฎกระทรวง ดังนั้น ส่วนตัวคิดว่าควรสนับสนุนกฎหมายฉบับนี้ และอย่าเข้าใจผิดว่ากฎกระทรวงนี้คือคำตอบ
นายวิรัช พันธุมะผล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย อภิปรายว่า เท่าที่รับรู้การผลิตสุราที่ไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งบางครั้งมีการจำหน่ายด้วย มีการผลิตที่ไม่ได้มาตรฐาน และผลิตที่บ้าน ใช้กรวยสังกะสีเป็นสนิม บางครั้งชาวบ้านใส่กรัมม็อกโซน เพื่อเร่งการเกิดปฏิกิริยา และส่งกลิ่นเหม็นให้พื้นที่ใกล้เคียง จึงเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง จึงไม่ติดใจในการปฏิบัติตามกฎกระทรวงการผลิตสุรา พ.ศ. 2565 เพราะกฎหมายนี้ไม่ได้มีการควบคุมชาวบ้านไม่ให้ผลิตสุราเลย
ทำให้นายเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล ในฐานะกรรมาธิการฯ ท้วงว่า เรื่องคุณภาพและสิ่งแวดล้อมไม่ได้ระบุในร่าง พ.ร.บ.สุราก้าวหน้า นี้ก็จริง แต่ก็มีกฎหมายฉบับอื่นควบคุมอยู่แล้ว โดยกฎหมายฉบับนี้คือการให้อำนาจไปแก้ไขกฎกระทรวงฯ ซึ่งมีการปลดล็อก แต่มีอีกล็อกขึ้นมา เช่น การเอากำลังการผลิตเบียร์ 10 ล้านลิตรออก และให้ไปทำ EIA หรือการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมแทน ทั้งที่จริงการทำ EIA อาจไม่สำคัญกับการทำโรงเบียร์ขนาดเล็กมาก ส่วนการทำสุราพิเศษ เช่น บรั่นดี และลิเคียว ซึ่งกฎกระทรวงก็ยังไม่มีการแก้ไขในส่วนนี้ กฎหมายฉบับนี้จึงไม่กำหนดกำลังแรงม้าและเครื่องจักร เพื่อให้เกิดการปลดล็อกการผลิตสุรา กฎหมายนี้จึงสำคัญอย่างยิ่ง เพราะออกโดยสภาฯ จึงอยากให้ช่วยกันปลดล็อกโซ่ตรวนนี้ไปให้ได้
จากนั้น นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ในฐานะ กมธ.เสียงข้างมาก อภิปรายว่า การแก้กฎกระทรวง เมื่อวันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา ทำอย่างเร่งด่วน มีการประกาศในราชกิจจาฯ ภายในวันเดียว ซึ่งไม่ค่อยปรากฏในกระบวนการที่จะออกกฎกระทรวง หรือออกกฎหมายใดๆ แสดงให้เห็นถึงความเร่งรีบ อาจจะเพื่อให้มีผลกระทบกับกระบวนการพิจารณาในสภาฯ ก็เป็นได้ ซึ่งศักดิ์สูงกว่ากฎกระทรวง เป็นการยืนยันเจตนารมณ์ของสภาฯ ว่า ทิศทางการเปิดเสรีสุราเป็นสิ่งที่เราอยากให้เกิดการเสมอภาคกับประชาชน ไม่ให้รายใหญ่ผูกขาดอีกต่อไป ถ้าเราหวังพึ่งว่ามีกฎกระทรวงมาแล้ว ซึ่งไม่ได้เป็นสิ่งยืนยันให้เกิดความมั่นใจได้เลยว่า ในอนาคตทิศทางของตลาดสุราจะเป็นไปอย่างไร ถ้ากฎหมายฉบับนี้ไม่ผ่านความเห็นชอบจากสภาฯ แปลว่ากฎหมายที่เป็นแม่ของกฎกระทรวงไม่มีผลบังคับใช้ ดังนั้น เราต้องยืนยันด้วยกฎหมาย
ขณะที่นายชาดา ไทยเศรษฐ์ ส.ส.อุทัยธานี พรรคภูมิใจไทย อภิปรายว่า ในฐานะที่เป็นมุสลิม อย่างไรเสียก็ต้องลงมติงดออกเสียงร่างกฎหมายฉบับนี้แน่นอน แต่เราไม่ควรนำกฎกระทรวงที่ออกเมื่อวันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา เกี่ยวกับเรื่องนี้มาเป็นตัวชี้วัดว่าจะรับหรือไม่รับร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ แต่สิ่งที่กังวลคือ ปัญหาตัวเลขผู้เสียชีวิตช่วงเทศกาลต่างๆ ทั้งปีใหม่และสงกรานต์ คุณและโทษของสุรา รวมถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับเยาวชน และจำนวนรายได้ของรัฐจะลดหรือเพิ่มขึ้นอย่างไร
ด้านนายธีรัจชัย พันธุมาศ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า วันนี้เป็นการวัดใจ ส.ส. ว่าจะกดตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สั่งมาหรือไม่ ถ้ากฎหมายฉบับนี้ไม่ผ่าน แสดงว่ายังมี ส.ส.เชื่อฟัง พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ เรื่องนี้เป็นการวัดใจว่า เราจะยืนข้างทุนผูกขาด หรือยืนข้างประชาชน จึงขอให้ประชาชนไปเช็กชื่อ ส.ส.ที่โหวตได้เลย เรื่องนี้ไม่ต้องรอรัฐบาลหน้าแล้วค่อยทำ จึงอยากขอให้สมาชิกมายืนข้างประชาชน
ที่ประชุมใช้เวลาในการอภิปรายรายมาตราอยู่กว่า 3 ชั่วโมง ก่อนลงมติเห็นชอบรายมาตราทั้ง 7 มาตรา จากนั้นเมื่อเข้าสู่การพิจารณาให้ความเห็นชอบทั้งฉบับในวาระที่ 3 ที่ประชุมกลับมีมติเสียงข้างมาก 177 เสียง ไม่เห็นด้วย ร่าง พ.ร.บ.สุราก้าวหน้า เห็นด้วย 173 เสียง และมีผู้งดออกเสียง 11 เสียง
อย่างไรก็ตาม นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล ขอใช้สิทธิตามข้อบังคับ ให้มีการลงมติใหม่ เนื่องจากคะแนนเห็นด้วยและคะแนนไม่เห็นด้วย ทิ้งห่างกันไม่ถึง 25 คะแนน ท่ามกลางเสียงคัดค้านของ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล ซึ่งนายอรรถกร ศิริลัทธยากร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ มองว่าจะทำให้เสียเวลาการประชุม และขอให้ยึดผลการลงคะแนนในวาระ 3 ที่ผ่านพ้นไป แต่ถูกคัดค้านจาก ส.ส.ฝ่ายค้าน ทำให้นายสุชาติ เดินหน้านับคะแนนใหม่ด้วยการขานชื่อ ตามข้อบังคับในที่สุด และภายหลังการนับคะแนนโดยการขานชื่อ ปรากฏว่า รอบแรกยังไม่สามารถขานคะแนนได้ จนนายสุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 ซึ่งเป็นประธานในที่ประชุม ต้องสั่งพักการประชุมไป
และหลังใช้เวลาลงมติรอบ 2 แบบขานรายชื่อ เกือบ 3 ชั่วโมง ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีมติ 196 ต่อ 194 เสียง งดออกเสียง 15 เสียง คว่ำร่าง พ.ร.บ.สุราก้าวหน้า ฉบับของพรรคก้าวไกลแล้ว โดยมีคะแนนห่างกันเพียง 2 คะแนน ทั้งนี้ คณะกรรมการตรวจนับคะแนน และใช้เวลาในการตรวจนับคะแนน อยู่ประมาณ 1 ชั่วโมง โดยมีการทบทวนการนับคะแนนอยู่หลายครั้ง เนื่องจากพบว่าการขานคะแนนมีการซ้ำกัน นอกจากนี้ยังมีการนับคะแนนออกมาเป็นผลเท่ากัน จึงต้องใช้เวลาในการตรวจสอบอยู่ระยะหนึ่ง. – สำนักข่าวไทย